Monday, December 10, 2007

งูพิษในประเทศไทย

ด้วยสภาพภูมิศาสตร์และดินฟ้าอากาศของประเทศไทย ซึ่งเหมาะสมต่อการดำรงชีวิตของสัตว์นานาชนิดในภูมิภาคแถบนี้ ประเทศไทยจึงเป็นประเทศหนึ่งที่มีงูชุกชุม โดยปรากฏว่ามีงูอยู่มากถึงประมาณ 180 ชนิดในประเทศไทย ซึ่งในจำนวนนี้ 46 ชนิดเป็นงูพิษ โดยแบ่งเป็นงูพิษที่อาศัยอยู่บนบก 24 ชนิด และเป็นงูพิษในทะเลอีก 22 ชนิด งูพิษที่สำคัญ ๆ น่าสนใจและมีอยู่ชุกชุม ได้แก่

1. งูเห่า (Naja sp.)
2. งูจงอาง ( Ophiophagus hannah)
3. งูสามเหลี่ยม (Bungarus fasciatus)
4. งูทับสมิงคลา (Bungarus candidus)
5. งูแมวเซา (Vipera russeli siamensis)
6. งูกะปะ (Calloselasma rhodostama)
7. งูเขียวหางไหม้ (Trimeresurus sp.)
8. งูพิษในทะเล

งูพิษอันตรายหรืองูที่มีความสำคัญทางการแพทย์ เราหมายถึงงูที่มีเขี้ยวพิษ มีต่อมพิษซึ่งมีน้ำพิษที่รุนแรงและเป็นสาเหตุให้คนหรือสัตว์เลี้ยงได้รับอันตรายอยู่เสมอ ๆ งูพิษอันตรายในประเทศไทยแบ่งตามลักษณะของเขี้ยวพิษดังนี้

1. เขี้ยวพิษอยู่ตอนหน้าของปาก ลักษณะเขี้ยวไม่ยาวนัก และจะติดแน่นกับขากรรไกรบน งอพับเขี้ยวไม่ได้ บนตัวเขี้ยวมีร่องสำหรับเป็นทางผ่านของน้ำพิษ พวกที่มีเขี้ยวในลักษณะนี้มักจะมีน้ำพิษซึ่งมีผลทำลายต่อระบบประสาทของคน
งูพิษอันตรายที่จัดในพวกนี้ ได้แก่ งูเห่า งูจงอาง กลุ่มงูสามเหลี่ยม และกลุ่มงู ทะเล

2. เขี้ยวพิษอยู่ตอนหน้าของปาก ลักษณะเขี้ยวค่อนข้างยาว สามารถงอพับได้ เป็นเขี้ยวกลวงคล้ายเข็มฉีดยา ไม่มีร่องบนตัวเขี้ยว ดังนั้นน้ำพิษจะผ่านทางช่องกลวงของเขี้ยวเข้าสู่ตัวคนที่ถูกกัด พวกที่มีลักษณะเขี้ยวแบบนี้มักจะมีน้ำพิษซึ่งมีผลทำลายต่อระบบโลหิตของคน งูพิษอันตรายที่จัดในพวกนี้ ได้แก่ งูแมวเซา งูกะปะ และกลุ่มงูเขียวหางไหม้
เขี้ยวพิษมีหลายชุด เมื่อเขี้ยวที่ใช้อยู่หักหรือถูกทำลาย จะมีเขี้ยวพิษสำรองขยับแทนที่และงอกยาวขึ้นจนใช้การได้อีก

พิษงู

งูพิษมีเขี้ยว 2 เขี้ยวที่ขากรรไกรบนด้านหน้า บางชนิดมีเขี้ยว 2 เขี้ยวที่ขากรรไกรบนด้านหลังด้วย เขี้ยวคือฟันรูปโค้ง เป็นร่องหรือมีโพรงตลอดความยาวของเขี้ยว เขี้ยวแต่ละอันมีท่อเชื่อมกับต่อมพิษหนึ่งต่อมที่อยู่ด้านหลังของตา ต่อมพิษทั้งสองข้างนี้เทียบได้กับต่อมน้ำลาย เมื่องูกัดพิษจะถูกขับออกมาจากต่อมไหลเข้าไปทางแผลรอยเขี้ยว พิษมีประโยชน์ต่องูสำหรับช่วยฆ่าสัตว์ที่เป็นอาหาร และมีเอนไซม์ช่วยในการย่อยอาหารด้วย
พิษงูมีลักษณะเหลว ใส สีเหลืองอ่อน พิษงูที่รีดออกมาเมื่อทำให้แห้งจะเป็นเกล็ดสีเหลือง พิษงูแห้งมีคุณภาพอยู่คงทนและละลายน้ำได้ง่าย พิษงูใช้เป็นประโยชน์สำหรับฉีดม้าเพื่อทำเซรุ่มแก้พิษงูและใช้ในการทำวิจัยด้วย

งูพิษกลุ่มสำคัญในประเทศไทย
แบ่งตามอำนาจทำลายของน้ำพิษต่อระบบของร่างกาย ดังนี้

ก. พวกที่มีพิษทางระบบประสาท 1. งูเห่าไทย ( Naja kaouthia ) และงูเห่าพ่นพิษ ( Naja sputatrix )
2. งูจงอาง ( Ophiophagus hannah)
3. กลุ่มงูสามเหลี่ยม
ข. พวกที่มีพิษทางระบบโลหิต
1. งูแมวเซา ( Vipera russelli siamensis )
2. งูกะปะ ( Calloselasma rhodostoma)
3. กลุ่มงูเขียวหางไหม้
ค. พวกที่มีพิษทางระบบกล้ามเนื้อ

ก. พวกที่มีพิษทางระบบประสาท

1.งูเห่าไทย ( Cobra ) และงูเห่าพ่นพิษ ( Spitting Cobra )
งูเห่า เป็นงูพิษที่มีความสำคัญมากที่สุดและคนไทยรู้จักดีที่สุด เพราะนอกจากมันจะมีพิษร้ายแรงแล้ว ยังมีอยู่ชุกชุมพบได้ทุกภาคของประเทศไทย งูเห่าสามารถแผ่แม่เบี้ยได้ มีอยู่หลายชนิดด้วยกัน บนหัวมีเกล็ดแผ่นโตคลุมหลายแผ่นมีลักษณะสีสรรแตกต่างกันมากตั้งแต่สีเหลือง สีนวล สีน้ำตาล จนกระทั่งสีดำ พวกที่พบเห็นเสมอจะมีดอกจันกลม พวกนี้พ่นพิษไม่ได้เราเรียกว่า งูเห่าไทย หรืองูเห่าหม้อ แต่มีงูเห่าบางชนิดสามารถพ่นน้ำพิษออกมาได้ไกลถึง 2 เมตร พวกนี้มักมีดอกจันเป็นรูปตัว V หรือไม่มีดอกจันเลย เช่น งูเห่าด่างหรืองูเห่าขี้เรื้อน หากมันพ่นพิษเข้าตาคนจะทำให้อักเสบอย่างรุนแรงถึงตาบอดได้ หรือพ่นพิษถูกบาดแผลก็จะเป็นอันตรายได้ งูเห่าทั้งชนิดที่พ่นพิษได้ และชนิดที่พ่นพิษไม่ได้ต่างก็มีพิษที่ร้ายแรงกัดคนถึงตายทั้งนั้น ถ้าหากเปรียบเทียบปริมาณน้ำพิษที่เท่ากันระหว่างงูเห่าและงูจงอางแล้ว งูเห่ามีพิษที่ร้ายแรงกว่างูจงอาง งูเห่าออกลูกเป็นไข่
2. งูจงอาง (King Cobra)
งูจงอาง เป็นงูพิษที่ใหญ่ที่สุดในโลก เคยพบที่ยาวที่สุดถึง 5.59 เมตร ลักษณะคล้ายงูเห่าแต่ตัวโตกว่ามาก รูปร่างเพรียวยาว แผ่แม่เบี้ย ได้เช่นกันแต่แม่เบี้ยแคบกว่างูเห่าเมื่อเทียบกันตามสัดส่วน

1 comment:

jariya News said...

ญ.ขออนุญาติถามคุณหมอเรื่องการฉกหรือกัดของงูสักหน่อยนะคะ..พอดีมีประสบการณ์กับงูเขียวหางไหม้ตัวเขื่องหัวของมันใหญ่เท่าหัวแม่เท้า(นิ้วโป้งเท้า)ของผู้ชายเลยอ่ะค่ะ..เรื่องมีอยู่ว่า ญ.ยืนเก็บพริกขี้หนูที่สวนตอนประมาณเกือบทุ่มมันจึงมืดอยู่สักหน่อยพอดีพี่ข้างบ้านเดินมาจะถึงญ.ร้องกรี๊ดเสียงหลงเราก็อะไรหว่า? พอป๋าเปิดไฟปุ๊บงูเขียวหางไหม้ตัวเบ้อเริ่มเลย..จริงๆแล้วเนี่ยมันเลื้อยมาจากตรงที่ญ.ยืนเก็บพริกนั่นแหละค่ะ ..ที่สำคัญตอนที่มันเลื้อยผ่านหลังเท้าญ.ไปนี่ก็รู้สึกนะคะแต่ตอนนั้นคิดว่าเป็นใบไม้หล่นใส่หลังเท้าก็นิ่งๆเฉยๆไม่ได้สนใจอะไร..จนเจ้างูเขียวนี่ไปป๊ะกะพี่ข้างบ้านซึ่งห่างออกไป 4 ก้าว..

อยากถามคุณหมอว่ากรณีที่งูจะกัดได้นี่คือมันต้องตกใจถูกต้องไหมคะ? เคยอ่านหนังสือมางูจะกัดใครๆก็ต่อเมื่อมันตกใจและป้องกันตัวเมื่อเกิดการเผชิญหน้ากัน เท่านั้น ไม่ใช่ว่าเลื้อยผ่านแล้วกัด และในกรณีที่ญ.ไม่ถูกกัดเพราะญ.ไม่ได้กระดุกกระดิกขาทำให้มันตกใจอันนี้ถูกต้องไหมคะ..แฮ่ๆๆๆ คุณหมออย่าสับสนในคำถามของญ.นะคะ เพราะญ.เองก็ชักจะงงตัวเองแล้วเหมือนกันค๊า..^-^