การเพาะพันธุ์จระเข้
ในธรรมชาติจระเข้จะอยู่กันเป็นกลุ่ม โดยมีจ่าฝูงและมีการจัดลำดับชั้นของแต่ละตัว ตัวผู้ที่เป็นจ่าฝูงจะมีอาณาเขตเป็นบริเวณของตนเอง ตัวผู้ที่เป็นรุ่นเล็กกว่าหรือตัวเมียสามารถอาศัยอยู่ได้โดยไม่ได้รับการทำอันตราย แต่สำหรับตัวผู้ที่เติบใหญ่ขึ้นมาก็มักจะมีการชิงความเป็นจ่าฝูงเกิดขึ้นจึงเกิดการต่อสู้กัน ผู้แพ้ถ้าไม่ตายเสียก่อนก็ต้องยอมลดชั้นลงมาหรือไม่ก็ต้องผละออกจากฝูงไปที่อื่นความหนาแน่นของจระเข้ในธรรมชาติจึงน้อย เพราะพื้นที่ของแม่น้ำนั้นกว้างและยาวมากการตามหาคู่กันเพื่อผสมพันธุ์จะอาศัยการสื่อสารกันหลายทางเช่น
1. จระเข้จะมีพฤติกรรมการงับน้ำให้กระจาย เสียงการงับน้ำนั้นจะดังมากได้ยินแต่ไกล หลังการงับน้ำแล้วจระเข้ตัวผู้จะมีการงอตัวชูหัวและหางขึ้น ทำการสั่นกล้ามเนื้อลำตัวเป็นจังหวะเกิดคลื่นความถี่สั้นๆทำให้น้ำบนหลังของตัวผู้นั้นกระเพื่อมกระเซ็นเป็นหยดน้ำบนหลังจระเข้ ทั้งเสียงงับน้ำและการสั่นลำตัวทำให้เกิดคลื่นใต้น้ำ คลื่นนี้จะเคลื่อนที่ไปตามน้ำเป็นการสื่อสารกันระหว่างจระเข้ด้วยกัน
2. หลังจากจระเข้ทำการสั่นลำตัวแล้วก็จะชูหัวขึ้นแล้วร้องด้วยเสียงอันดัง ซึ่งบางครั้งพบว้าตัวเมียก็ร้องตอบเช่นกัน
เมื่อจระเข้สื่อสารกันรู้ว่า ตัวผู้ตัวเมียอยู่ที่ไหนก็สามารถเดินทางมาหากันเพื่อทำการผสมพันธุ์กัน การผสมพันธุ์จะดำเนินไปโดยปราศจากสิ่งรบกวนเพราะในธรรมชาติพื้นที่กว้างใหญ่
เมื่อมาเพาะพันธุ์จระเข้ในสถานที่เลี้ยง พฤติกรรมการหาคู่ของจระเข้จะยังคงเดิม แต่จระเข้ไม่มีความลำบากที่ต้องเดินทางหากันเพราะอยู่ในบ่อเดียวกันอยู่แล้ว อย่างไรก็ตามสิ่งที่ต้องคำนึงถึง คือ
1. ลักษณะบ่อเพาะพันธุ์
2. การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์
3. ความหนาแน่นของพ่อแม่พันธุ์
4. อัตราส่วนของพ่อแม่พันธุ์
1. ลักษณะบ่อเพาะพันธุ์
บ่อสำหรับการเพาะพันธุ์จะแตกต่างกับบ่อสำหรับเลี้ยงจระเข้รุ่น คือ จะมีพื้นที่ส่วนที่เป็นน้ำมากกว่าบกเท่าตัว(อัตราส่วนน้ำต่อบก เท่ากับ 2 ต่อ 1 ) และระดับน้ำลึกควรลึก 1 – 1.5 เมตร เพื่อให้จระเข้ผสมพันธุ์กัน ส่วนที่เป็นบกควรจะเป็นดิน และปลูกต้นไม้ให้ร่มรื่น เพื่อเป็นส่วนที่ให้ร่มเงากับจระเข้ ขณะเดียวกันก็เป็นส่วนที่ให้จระเข้ได้หลบซ่อนและพักผ่อน มีส่วนที่กั้นเป็นช่องๆสำหรับให้แม่จระเข้วางไข่ ในส่วนนี้ดินควรเป็นดินร่วน มีหญ้าและเศษใบไม้ใส่ไว้ให้ด้วยและไม่ควรมีเสียงอึกทึกให้จระเข้ตกใจ
บ่อเพาะพันธุ์ที่มีขนาดใหญ่ จะดีกว่าบ่อเพาะพันธุ์ที่มีขนาดเล็กแม้จะส่พ่อแม่พันธุ์จระเข้ในอัตราส่วนต่อพื้นที่เท่ากันก็ตาม
2. การคัดเลือกพ่อแม่พันธุ์
ตัวผู้ควรมีขนาดใหญ่กว่าตัวเมียไม่มากนัก คือ ไม่ควรยาวกว่าตัวเมียเกิน 50 เซนติเมตร เพราะหากตัวผู้ใหญ่เกินไปจะข่มตัวผู้ตัวอื่น ในขณะเดียวกันตัวเองก็ไม่สามารถจะผสมกับตัวเมียได้สะดวกทำให้ไข่ที่ได้มักจะไม่มีเชื้อ นอกจากนี้ตัวผู้จะต้องไม่อ้วนเกินไปและไม่มีลักษณะพิการของอวัยวะต่างๆโดยเฉพาะกระดูกสันหลังต้องไม่คดหรือบิดงอ
ตัวเมียไม่ควรเล็กเกินไปหรือแคระแกรน ขนาดของตัวเมียที่เป็นแม่พันธุ์ควรยาว 2.50 เมตรขึ้นไป และหากเคยวางไข่แล้วลักษณะของไข่ต้องปกติ ขนาดสม่ำเสมอ หากออกไข่ผิดปกติ เช่น ไข่นิ่ม ไข่มีขนาดใหญ่มากและเล็กมากปนกันหรือไข่มีรูปทางโค้งผิดรูปก็ไม่ควรเก็บไว้เป็นแม่พันธุ์ต่อไป แม่พันธุ์ทุกตัวควรมีการติดป้ายหมายเลขที่หางเพื่อให้สามารถติดตามประวัติการวางไข่ได้ทุกปี
3. ความหนาแน่นของพ่อแม่พันธุจระเข้
ดังได้กล่าวแล้วว่าจระเข้ตัวผู้จะมีอาณาบริเวณเป็นของตัวเอง เมือมีการล้ำแดนกันหรือแย่งตัวเมียกันก็จะมีการต่อสู้เกิดขึ้น ดังนั้นหากในบ่อเพาะพันธุ์มีจระเข้หนาแน่นเกินไป จระเข้จะเกิดความเครียดซึ่งจะส่งผลทำให้ตัวเมียไข่ลดลงและเมื่อขณะจะผสมพันธุกันมีจระเข้ตัวอื่นมารบกวน เช่น มีตัวผู้ตัวอื่นจะมาแย่งตัวเมียเพื่อผสมพันธุ์ เกอดการต่อสู้กันทำให้ตัวเมียเกิดไม่ยอมให้ตัวผู้ผสมพันธุเลย ไข่ในท้องก็จะกลายเป็นไข่ไม่มีเชื้อเป็นผลให้ได้ลูกจระเข้น้อยเมื่อเทียบกับจำนวนพ่อแม่พันธุ์ในบ่อ ในทางกลับกันถ้าในบ่อเพาะพันธุ์กว้างและมีจระเข้พ่อแม่พันธุ์น้อย การผสมพันธุ์จะดำเนินไปด้วยดี อัตราการมีเชื้อของไข่จะสูงขึ้นและได้ลูกจระเข้พ่อแม่พันธุ์น้อย การผสมพันธุ์จะดำเนินไปด้วยดี อัตราการมีเชื้อของไข่จะสูงขึ้นและได้ลูกจระเข้เพิ่มขึ้นแต่เมื่อเทียบกับการลงทุนสร้างบ่อแล้วอาจไม่คุ้มกันจึงต้องค่อยๆปรับจำนวนพ่อแม่พันธุ์ให้เหมาะสมกับขนาดของบ่อเพื่อให้ได้ลูกจระเข้มากที่สุด เมื่อคำนวนแล้วเป็นต้นทุนที่ต่ำที่สุด
เนื้อที่ที่เหมาะสมกับการเพาะพันธุ์จระเข้นั้นไม่ควรต่ำกว่า 20 ตารางเมตร ต่อ พ่อแม่พันธุ 1 ตัว นั่นคือ หากบ่อเพาะพันธุมีขนาด 120 ตารางเมตร ก็ใส่พ่อแม่พันธุ์ได้ไม่ควรเกิน 6 ตัวหรือบ่อขนาด 2.5 ไร่ สามารถปล่อยพ่อแม่พันธุ์จระเข้ได้ 200 ตัว
4. อัตราส่วนของพ่อแม่พันธุ์
ในธรรมชาติจระเข้ตัวผู้จะผสมพันธุ์กับตัวเมียได้หลายตัว ในขณะเดียวกันตัวเมียก็จะได้รับการผสมพันธุ์กับตัวผู้หลายครั้ง ดังนั้นอัตราส่วนในการเพาะพันธุ์จระเข้ควรไห้มีตัวเมียมากกว่าตัวผู้ คือ ตัวผู้ ต่อ ตัวเมีย เป็น 1 ต่อ 2 , 1 ต่อ 3 หรือ 1 ต่อ 2.5 สำหรับบางแห่งอาจใช้อัตราส่วน ตัวผู้ : ตัวเมีย ถึง 1:5 ทีเดียวในช่วงฤดูผสมพันธุ์
จระเข้จะผสมพันธุ์กันในช่วงเดือน ธันวาคม – มีนาคม และวางไข่ในช่วงเดือนมีนาคม – มิถุนายนของทุกปี เมื่อเข้าสู่เดือนพฤศจิกายน จระเข้ทั้งตัวผู้และตัวเมียจะมีการเปลี่ยนแปลงของสรีระภายในร่างกาย คือ ตัวผู้ลูกอัณฑะ( Testis ) จะเริ่มมีการขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆจนเต็มที่จะใหญ่กว่าเดิม 10 – 20 เท่าตัวและมีการสร้างน้ำเชื้อขึ้นจำนวนมาก น้ำเชื้อจะมีสีขาวน้ำนม ส่วนตัวเมียไข่ ( Ovarian follicle) จะเริ่มสะสมสารอาหารต่างๆขยายใหญ่ขึ้นจากขนาด 1 – 2 มิลลิเมตร เป็น 40 – 45 มิลลิเมตร ดังตาราง
ตารางการเปลี่ยนแปลงของไข่ในช่วงฤดูผสมพันธุ์ของจระเข้ตัวเมีย
เดือน ขนาด(มม.)
พ.ย. – ธ.ค. 1 – 15
ธ.ค. – ม.ค. 15 – 30
ม.ค. – ก.พ. 30 – 40
ก.พ. – มี.ค. 40 - 45
เมื่อไข่มีขนาดใหญ่ 40 – 45 มิลลิเมตรจะมีการตกไข่(Ovulation) ช่วงนี้เองที่จะเห็นจระเข้แสดงพฤติกรรมการหาคู่และจับคู่กัน เมื่อมีการผสมพันธุ์เกิดขึ้นไข่ก็จะได้รับการผสมพันธุ์กับน้ำเชื้อในท่อนำไข่ จากนั้นสร้างไข่ขาวเปลือกไข่มกหุ้มแล้วรอการวางไข่
การวางไข่
ตัวเมียจะวางไข่หลังจากที่ได้รับการผสมพันธุ์ประมาณเดือนครึ่ง สังเกตเห็นท้องจะโตมากและกินอาหารน้อยลงวางไข่ครั้งเดียวประมาณ 30 – 50 ใบ มักจะวางไข่ในตอนกลางคืนหรือตอนเช้าตรู่โดยใข้ขาหลังขุดหลุมไข่ซึ่งจะใข้เวลาในการขุดประมาณ 1 – 3 ชั่วโมงแล้วแต่ว่าดินบริเวณที่ขุดจะแข็งหรือร่วน หากดินแข็งเกินไปแม่จระเข้จะถ่ายของเหลวออกมาทำให้ดินอ่อนนุ่มลงเพื่อให้ขุดง่ายขึ้นจระเข้จะขุดหลุมวางไข่ไว้ล่วงหน้า 3 – 7 วันก่อนวางไข่จริง เมื่อขุดหลุมเสร็จแล้วจะกลบหลุมนั้น ลักษณะกลบจะให้ดินบนหลุมไข่พูนเหนือระดับพื้นราบประมาณ 30 – 50 เซนติเมตรและนอนเฝ้าอยู่ เมื่อถึงเวลาไข่จริงก็จะขุดหลุมเดิมที่เตรียมไว้แล้วและทำการวางไข่ โดยแม่จระเข้จะยืนคร่อมปากหลุมด้วยขาหลังทั้ง 2 ข้าง มีหางช่วยพยุงลำตัวด้วย เสร็จแล้วจะเริ่มเบ่งไข่ออกมาทีละใบแม่จระเข้จะพยายามเอาขาหลังทั้ง 2 ข้างรับไข่แล้วปล่อยให้ตกลงสู่ก้นหลุม ระยะเวลาในการไข่จะนาน 20 – 30 นาที แล้วแต่จำนวนไข่มากหรือน้อย ไข่แต่ละใบจะมีเมือกใสคล้ายวุ้นหุ้มอยู่หนาประมาณ 1 ม.ม. ทำหน้าที่ป้องกันมิให้เปลือกไข่โดยใช้ขาหลังทั้ง 2 ข้าง โกยดินบนปากหลุมที่ตนขุดขึ้นมาลงกลบและจะกวาดเอาใบไม้แห้งบริเวณรอบๆมาเสริมด้วย เมื่อกลบเสร็จแม่จระเข้จะเดินวนเป็นวงกลมรอบหลุมไข่เพื่อดูว่ากลบไข่เรียบร้อยหรือไม่ หากไม่เรียบร้อยก็จะทำการกลบหลุมไข่เพิ่มเติมอีกเป็นเช่นนี้จนเรียบร้อย หากหลุมไข่ที่แม่จระเข้เตรียมไว้ล่วงหน้าถูกคนรบกวนขุดคุ้ยดูแม่จระเข้บางตัวก็จะยังคงวางไข่ในหลุมนั้นแต่สำหรับบางตัวจะย้ายที่วางไข่ โดยขุดหลุมใหม่แล้วกลบโดยให้ปากหลุมเรียบเท่าพื้นเดิมแล้วกลกุมเดิมกลบแบบพูนเพื่อหลอกคนที่จะมาหาไข่อีก
แม่จระเข้จะมีน้ำตาไหลออกมาให้เห็นเป็นสายขณะเบ่งไข่ เมื่อไข่เสร็จจะยังคงมีน้ำตาค้างอยู่ที่แอ่งใต้ตา เราสามารถสังเกตเห็นได้ชัด เป็นอีกจุดหนึ่งที่ทำให้สังเกตได้ค่อนข้างแน่ว่าแม่จระเข้างไข่แล้วและท้องก็จะยุบลงไม่เต่งตึงเหมือนตอนยังไม่ได้วางไข่
สถานที่สำหรับให้แม่จระเข้วางไข่ต้องมีให้เพียงพอกับจำนวนแม่จระเข้ในบ่อ เพราะหากมีไม่เพียงพอจะทำให้เกิดปัญหาในการวางไข่ เช่น
1. เกิดการต่อสู้เพื่อแย่งที่วางไข่ ทำให้แม่จระเข้บาดเจ็บและตายได้
2. ขณะแม่จระเข้กำลังวางไข่ เมื่อมีจระเข้ตัวอื่นเข้ามารบกวนจะทำให้แม่จระเข้วางไข่ได้ไม่ดี เนื่องจากความรีบร้อนทำให้ไข่ได้รับความเสียหาย
3. หลุมไข่เก่าอาจถูกแม่จระเข้ตัวอื่นมาขุดทำลายทิ้งเพื่อวางไข่ใหม่
การเฝ้าไข่
แม่จระเข้จะหวงไข่และนอนเฝ้าไข่ของตัวเองตลอดเวลา อาจจะลงน้ำหรือไปาอาหารบ้างแต่น้อยครั้งและมักวนเวียนใกล้ไข่ของตนเอง เมื่อมีสัตว์อื่นหรือคนเข้ามาใกล้ไข่ แม่จระเข้ก็จะรีบมาปกป้องไข่ของตนเองไว้ทันที แม้ว่าเราจะย้ายไข่ของจระเข้ออกไปแล้ว หรือรื้อรังที่จระเข้ทำไว้ แม่จระเข้ก็จะแต่งรังให้เหมือนเดิมแล้วนอนเฝ้าไข่ต่อโดยคิดว่ายังมีไข่อยู่ในรัง แม่จระเข้จะนอนเฝ้าอยู่ประมาณ 70 – 90 วันเท่ากับระยะฟักไข่ แต่ถ้ามีการปล่อยให้ไข่ฟักตามธรรมชาติเมื่อไข่ฟักเป็นตัวลูกจระเข้จะร้องตั้งแต่อยู่ในไข่ แม่จระเข้ได้ยินเสียงร้องก็จะเข้ามาช่วยลูกจระเข้ขึ้นจากหลุมโดยใช้ขาหน้าและปากคุ้ยดินขึ้นมา ลูกจระเข้บางตัวเจาะเปลือกไข่ออกมาได้เอง แต่บางตัวเจาะเปลือกไข่ไม่ได้แม่จระเข้ก็จะคาบไข่และกระเทาะเปลือกให้แตกออกเพื่อให้ลูกจระเข้ออกมาจากไข่ได้ จากนั้นจะคาบลูกจระเข้ลงน้ำและคอยป้องกันลูกจระเข้ขณะยังเล็กอยู่ ในการฟักไข่จระเข้แบบธรรมชาติของฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการจะกันให้แม่จระเข้ ออกไปจากคอกที่วางไข่และปิดประตูกั้นเพื่อไม่ให้แม่จระเข้ หรือจระเข้ตัวอื่นเข้าไปในคอกไข่นั้นได้อีก อย่างไรก็ตามแม่จระเข้จะนอนเฝ้าไข่ของตนเองอยู่หน้าประตูที่ปิดไว้ตลอดช่วงเวลาของการฟัก และเมื่อแม่จระเข้ได้ยินเสียงลูกจระเข้ร้องก็จะเกิดอาการกระสับกระส่าย พยายามจะวิ่งชนประตูให้เปิดออกเพื่อเข้าไปช่วยลูกให้ขึ้นจากหลุมไข่ เมื่อพนักงานได้เข้าไปเปิดหลุมไข่และเก็บลูกจระเข้ออกไปแม่จระเข้จะเดินตามคนที่หิ้วกะบะใส่ลูกจระเข้โดยตามเสียงร้องของลูกจระเข้
หลังจากช่วงนี้แม่จระเข้จะกินอาหารมากขึ้น เป็นช่วงที่เราต้องให้อาหารแม่จระเข้เพื่อให้ฟื้นตัวจากการสร้างไข่ และอดอาหารขณะเฝ้าไข่
การฟักไข่จระเข้
ไข่จระเข้ปกติจะมีขนาดกว้าง 5.5 เซนติเมตร ยาว 8 – 8.5 เซนติเมตร น้ำหนัก 100 – 120 กรัม รูปทรงรีคล้ายไข่ห่านเปลือกแข็งสีขาว หนาประมาณ 1 มิลลิเมตร ส่วนเยื่อหุ้มไข่ (Egg shell membrane) มีสีขาวเหนียว การฟักไข่จระเข้มีหลายวิธี เช่น ฟักแบบธรรมชาติ ฟักในตู้ฟัก
การฟักแบบธรรมชาติ เมื่อแม่จระเข้วางไข่ในคอกเรียบร้อยแล้ว เราสามารถช่วยการฟักไข่ให้สมบูรณ์ขึ้นโดยปรับหลุมไข่ให้เหมาะสมหากหลุมไข่มีดินหรือหญ้าปกคลุมน้อยไป ก็ทำการเสริมให้หนาขึ้น โดยเฉพาะรอบ ๆ หลุมไข่ควรเสริมดินเป็นคันเพื่อกันมิให้น้ำฝนไหลเข้าไปยังหลุมไข่ได้ เวลาฝนตกหนัก ๆ และหากเป็นปีที่ฝนแล้งอากาศค่อนข้างแห้งก็อาจรดน้ำเพื่อเพิ่มความชื้นให้กับหลุมไข่โดยฉีดน้ำเป็นฝอยพอเปียกชุ่มเช่นเดียวกับเวลาฝนตก สำหรับอุณหภูมิเราสามารถตรวจได้ โดยใช้ปรอทใส่เข้าไปเพื่อวัดอุณหภูมิซึ่งสามารถตรวจเช็คได้คร่าว ๆ ถ้าร้อนเกินไปก็อาจทำร่มเงาบังแดดให้กับหลุมไข่ หากเย็นไปและมีร่มเงามากก็ต้องเอาร่มเงาออกเพื่อให้หลุมไข่ได้รับแสงแดด หลุมไข่ไม่ควรอยู่ใต้ชายคาหรือใต้ทางมะพร้าว เพราะน้ำจะไหลลงสู่หลุมไข่โดยตรงและมากทำให้ไข่ที่ฟักอยู่เน่าเสียได้
ไข่ในหลุมจะได้รับความชื้นในตอนแรกจากวุ้นหุ้มไข่ที่ละลายเป็นของเหลวใส ๆ และจากความชื้นในดิน ซึ่งทำให้มีความชื้นสัมพัทธ์ในหลุมไข่เป็น 95 – 100 เปอร์เซ็นต์ และความร้อนในหลุมไข่เกิดจาก ความร้อนบนพื้นดินที่ได้รับจากแสงอาทิตย์แผ่ลงไปรวมทั้งการเน่าสลายของใบไม้ ใบหญ้า ที่ทำให้เกิดความร้อนด้วย และเมื่อตัวอ่อนมีการเจริญเติบโตขึ้นก็จะมีการใช้สารอาหาร การสร้างพลังงานขึ้น ซึ่งพลังงานความร้อนนี้จะถูกเก็บไว้ในหลุมไข่ทำให้ในหลุมไข่มีอุณหภูมิเหมาะสมในการฟักต่อไป
อุณหภูมิในการฟักไข่จระเข้ควรอยู่ระหว่าง 29 – 32 c หากต่ำกว่านี้หรือสูงกว่านี้จะมีผลเสียต่อการฟัก หากฟักที่อุณหภูมิประมาณ 29 c จะใช้เวลาในการฟัก 75 – 85 และลูกจระเข้ที่ฟักได้ส่วนมากจะเป็นเพศเมียหากฟักที่อุณหภูมิ 32 c ระยะการฟัก 65 – 75 วัน และลูกจระเข้ออกมาส่วนมากเป็นเพศผู้ การฟักในธรรมชาติในหลุมไข่เดียวกันเราจะได้ลูกจระเข้ทั้งเพศผู้และเพศเมียเพราะตรงกลางหลุมอุณหภูมิจะสูงกว่าตรงขอบหลุมประมาณ 0.5 – 1 c ทำให้ไข่ที่อยู่กลางหลุมฟักได้ลูกจระเข้เพศผู้
วิธีการฟักแบบนี้สิ่งสำคัญคือเราจะต้องหมั่นมาตรวจดูหลุมไข่ทุกวันเพื่อปรับสภาพให้เหมาะสม และเมื่อใกล้เวลาฟักจะต้องคอยหมั่นฟังเสียงร้องของลูกจระเข้เพื่อจะได้ช่วยเหลือลูกจระเข้ออกจากหลุมได้ดังเช่นที่แม่จระเข้ทำ เมื่อลูกจระเข้ร้องก็จะช่วยลูกจระเข้โดยการเอาดินออกจากหลุมไข่เก็บไข่ออกมาทำความสะอาดและคัดไข่ที่เสียหรือฟักไม่เป็นตัวออกโดยทั่วไปลูกจระเข้ในครอกเดียวกันจะเจาะออกจากไข่ในเวลาใกล้เคียงกัน แต่อาจมีบางตัวที่ยังไม่พร้อมจะเจาะออกจากไข่เวลาใกล้เคียงกันแต่อาจมีบางตัวที่ยังไม่พร้อมจะเจาะออกจากไข่ เราก็ยังไม่ต้องไปแกะช่วยเพราะลูกจระเข้นั้นอาจครบกำหนดฟักช้ากว่าตัวอื่น เราจะฟักต่อโดยรองก้นหลุมไข่ด้วยดินผสมใบไม้แห้งและหญ้าแห้ง เพื่อที่เมื่อลูกจระเข้ออกจากไข่แล้วจะได้มีอากาศเพียงพอในการหายใจ และรอเวลาที่พนักงานจะมาตรวจเช็คในวันต่อไป
เราอาจฟักไข่จระเข้ในตู้ฟักได้หากเราสามารถจัดสภาพตู้ฟักให้เหมาะสม คือมีความชื้นสัมพัทธ์ 95 – 100 เปอร์เซ็นต์ และอุณหภูมิ 29 –32 c การฟักในตู้อาจทำการฟักโดยใช้ดินกลบไข่หรือไม่ก็ได้ ที่สำคัญคือไข่ที่จะเข้าเก็บเข้าตู้ฟักควรเป็นไข่ที่แม่จระเข้เพิ่งวางออกมาใหม่ ๆ หรือไม่เกิน 24 ชั่วโมง เมื่อเก็บเข้ามาแล้วต้องทำการล้างเอาดินและเมือกที่หุ้มไข่ออกให้หมดด้วยน้ำที่สะอาด และอุณหภูมิของน้ำควรคงที่ประมาณ 30 c คัดเอาเฉพาะไข่ที่มีเชื้อและมีสภาพสมบูรณ์เท่านั้นฟักในตู้ฟัก
การใช้ดินกลบไข่นั้นเป็นวิธีที่อาศัยหลักธรรมชาติว่าโดยปกติไข่ฟักอยู่ในดินหากเป็นไข่ที่มีคุณภาพการฟักก็จะเกิดอย่างสมบูรณ์โดยไม่มีปัญหา และดินจะมีส่วนสำคัญในการช่วยเป็นตัวกลางในการเก็บความชื้นให้กับไข่ได้อย่างเหมาะสม หากเกิดปัญหากับเครื่องฟักไข่ ความชื้นในตู้ฟักลดลงแต่ความชื้นในดินยังคงมีอยู่ทำให้มีเวลาสำหรับการแก้ไขข้อบกพร่องของเครื่องได้ทันก่อนที่จะมีผลกระทบต่อไข่ ดินยังเป็นตัวช่วยดูดซึมสิ่งสกปรกที่อาจเกิดขึ้นจากไข่ในตู้ฟักที่มีการเน่าเสีย เราจึงมีเวลาที่จะกำจัดไข่ที่เน่าเสียนั้นออกจากตู้ก่อนที่เชื้อโรคจะแพร่กระจายไปทั่ว นอกจากนั้นเชื้อแบคทีเรียบางชนิดมีส่วนช่วยให้เปลือกไข่เกิดพรุนซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับลูกจระเข้ในไข่
อีกวิธีหนึ่งของการฟักในตู้ คือ การฟักโดยไม่ใช้ดินหรือวัสดุอื่นๆกลบไข่ วิธีนี้เป็นที่เชื่อกันว่าสามารถป้องกันการติดเชื้อโรคที่มากับดินได้ดีและสามารถตรวจดูไข่ได้สะดวก ไข่ที่ล้างเอาดินและเมือกออกแล้ว จะได้รับการแช่น้ำยาฆ่าเชื้อโรคและวางในถาดที่เตรียมไว้จะต้องคอยหมั่นตรวจเช็คไข่เป็นประจำ หากพบว่าไข่ใบไหนที่เสียจะต้องรีบคัดทิ้งทันที มิฉะนั้นแล้วไข่ที่เน่าเสียนั้นเกิดแตกระเบิดออกมาจะเป็นการแพร่เชื้อไปทั่วตู้ทันทีและต้องคอยระวังมิให้ความชื้นในตู้มากจนเกินไปจนเกิดหยดน้ำเกาะบนเปลือกไข่
การฟักด้วยตู้ฟักทั้ง 2 วิธี เราจะต้องมีการอบตู้ฟักเพื่อฆ่าเชื้อเป็นประจำและต้องคอยหมั่นตรวจเช็คการทำงานของเครื่อง ตรวจเช็คอุณหภูมิและความชื้นสม่ำเสมอเป็นประจำด้วย การฟักไข่ในตู้ฟักจะดูแลไข่ได้จำนวนมากๆในเวลาเดียวกันซึ่งจะประหยัดเวลากว่าการฟักด้วยวิธีแบบธรรมชาติ แต่หากมีความผิดพลาดของเครื่องมือหรือความบกพร่องของคนดูแลตู้ฟักและแก้ไขไม่ทันหรือพบช้าไปหรือเกิดการติดเชื้อจะทำให้เกิดความเสียหายกับไข่ทั้งหมดในตู้ แต่การฟักด้วยวิธีแบบธรรมชาติหากเสียหายก็จะเสียหายเพียงไข่หลุมนั้นเท่านั้นและโดยธรรมชาติของประเทศไทยเอื้ออำนวยต่อการฟักไข่จระเข้อยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับผู้ไม่ค่อยมีความชำนาญหรือไม่มีเวลาเอาใจใส่กับตู้ฟักได้อย่างเพียงพอและมีจำนวนไข่ไม่มาก วิธีการฟักแบบธรรมชาติจะเหมาะสมกว่า
จากประสบการณ์การฟักไข่ของฟาร์มจระเข้และสวนสัตว์สมุทรปราการ พบว่าการฟักด้วยวิธีแบบธรรมชาติการฟักด้วยตู้ฟักแบบไข่กลบดินหรือไข่ไม่กลบด้วยอะไรเลยอัตราการฟักจะใกล้เคียงกันหากผู้ฟักมีวมชำนาญในการฟักวิธีนั้นๆเพียงพอ
สภาพบ่อเลี้ยงและสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสมสำหรับจระเข้
1. ร่มเงาและแสงแดด
บ่อเลี้ยงลูกจระเข้ควรมีทั้งส่วนที่เป็นร่มเงาและส่วนที่แสงแดดส่องถึง เพื่อให้ลูกจระเข้สามารถเลือกปรับอุณหภูมิของร่ายกาย เพราะจระเข้เป็นสัตว์เลือดเย็น จะปรับอุณหภูมิของร่างกายตามอุณหภูมิสิ่งแวดล้อมขณะนั้น ดังนั้นเมื่อจระเข้ต้องการเพิ่มอุณหภูมิของร่างกายก็จะมานอนอาบแดดบนบกเพื่อรับความร้อนจากแสงแดดเข้าสู่ร่างกาย ขณะเดียวกัน การได้อาบแดดก็เป็นการสร้างวิตามินดี ให้ร่างกายด้วย และเมื่อจระเข้ต้องการลดอุณหภูมิของร่างกายก็จะเข้าที่ร่มเงา หรือลงแช่น้ำเพื่อระบายความร้อน
2. มีส่วนที่เป็นบกและน้ำ
ในบ่อเลี้ยงลูกจระเข้ควรมีทั้งส่วนที่เป็นบกและน้ำในอัตราส่วน 1 : 1 หรือ 2 : 3 ระดับน้ำไม่จำเป็นต้อ
ลึก แต่อย่างน้อยให้พอท่วมหลังจระเข้และต้องมีน้ำอยู่ในบ่อตลอดเวลา มีผู้เลี้ยงจระเข้บางท่านต้องการประหยัดน้ำหรือกลัวว่าใส่น้ำตลอดเวลาแล้วน้ำจะสกปรก จึงให้น้ำจระเข้เป็นเวลา เช่น ล้างบ่อตอนเช้าแล้วปล่อยบ่อให้แห้ง เติมน้ำในตอนเย็น ทำให้จระเข้ขาดน้ำ โดยเฉพาะวันที่อากาศร้อนจัดอาจเกิดภาวะไตวายและตายได้ อีกประการหนึ่งคือ น้ำเป็นที่หลบภัยของจระเข้ เมื่อจระเข้ตกใจจะรีบหนีลงน้ำและกบดานอยู่ใต้น้ำ ไม่ว่าน้ำนั้นจะใสหรือขุ่นก็ทำให้จระเข้รู้สึกปลอดภัยและหายตกใจ
3. ทำความสะอาดบ่อเลี้ยงได้ง่าย
การรักษาความสะอาดบ่อเลี้ยงมีความจำเป็นอย่างยิ่ง บ่อเลี้ยงจึงควรเป็นบ่อปูนซีเมนต็เพราะทำความ
สะอาดง่ายและเมื่อให้อาหาร อาหารจะไม่สกปรกเหมือนบ่อดิน ควรมีการขัดล้างบ่อเลี้ยง และใช้น้ำยาฆ่าเชื้อโรคก่อนปล่อยลูกจระเข้ 1 – 2 วัน น้ำที่ใช้เลี้ยงควรเป็นน้ำสะอาด หากเลี้ยงด้วยน้ำประปาจะดีที่สุด บางแห่งที่ไม่มีน้ำประปาก็สามารถใช้น้ำสะอาดจากแม่น้ำก็ได้ แต่ถ้าจะใช้น้ำบาดาลก็ควรทดสอบคุณภาพของน้ำว่าเหมาะสมสำหรับเลี้ยงสัตว์หรือไม่เสียก่อน และทำการเปลี่ยนน้ำล้างบ่อทุกวัน วันละครั้ง
4. หลีกเลี่ยงการเลี้ยงที่หนาแน่นเกินไป
สำหรับลูกจระเข้เล็ก บ่อเลี้ยงควรมีขนาดกว้าง 1.5 เมตร ยาว 2.5 เมตร และสามารถแบ่งเป็นช่องเล็ก
ๆ ได้เป็น 4 ช่อง แต่ละช่องเหล่านี้ไว้สำหรับเลี้ยงลูกจระเข้ขนาดเล็กได้ 10 – 15 ตัว (10 – 15 ตัว ต่อ ตารางเมตร) รวม 1 บ่อจะเลี้ยงได้ 40 – 60 ตัว หากไม่แบ่งเป็นช่อง ๆ แล้ว ลูกจระเข้ทั้ง 40 – 60 ตัวนี้ จะมานอนกองทับกันทำให้ลูกจระเข้ตัวที่อยู่ล่างสุดถูกทับตาย เมื่อลูกจระเข้โตขึ้น นิสัยการนอนทับกันก็น้อยลง ก็ดึงแผงกั้นบ่อออกให้บ่อมีขนาดใหญ่ขึ้น ในขณะเดียวกันก็กระจายลูกจระเข้บางส่วนออก ให้เหลือน้อยลงด้วย
พื้นที่บ่อสำหรับเลี้ยงจระเข้ขนาดต่าง ๆ
จระเข้อายุ 1 ปี หรือขนาด 1 เมตร ใช้พื้นที่ 0.43 – 0.64 ตารางเมตร/ตัว
จระเข้อายุ 2 ปี หรือขนาด 1.5 เมตร ใช้พื้นที่ 0.64 – 0.85 ตารางเมตร/ตัว
จระเข้อายุ 3 ปี หรือขนาด 1.8 เมตร ใช้พื้นที่ 0.85 – 1.28 ตารางเมตร/ตัว
5. ลดความเครียดให้กับลูกจระเข้
ความเครียดทำให้จระเข้หยุดกินอาหาร เป็นผลให้ระดับน้ำตาลในเลือดต่ำลง การทำงานของลำไส้ลด
ลง เลือดที่มาที่ตับและไตลดลงเกิดการติดเชื้อได้ง่ายขึ้น
วิธีป้องกันมิให้ลูกจระเข้เครียด คือ ใช้ชั้นไม้วางในบ่อลูกจระเข้ ชั้นไม้มีขนาดกว้าง 30 เซนติเมตร ยาว 40 เซนติเมตร สูง 5 เซนติเมตร มีไว้สำหรับให้ลูกจระเข้เข้าไปหลบซ่อนตัว ซึ่งมีประโยชน็คือ ทำให้ลูกจระเข้คลายความเครียดแล้ว ยังป้องกันมิให้ลูกจระเข้นอนสุมเป็นกองทับกันตาย ทำให้ลูกจระเข้กินอาหารดีและโตไว
อีกวิธีหนึ่งที่ช่วยลดความเครียดของลูกจระเข้คือ การคลุมใยสังเคราะห์กั้นแสงขนาดร้อยละ 60 – 70 เหนือบ่อที่เลี้ยงประมาณครึ่งหนึ่ง ทำให้บ่อไม่สว่างเกินไป ลูกจระเข้จะมีความรู้สึกเหมือนหลบอยู่ในที่ซ่อนสังเกตได้จากลูกจระเข้จะนอนกระจายกัน นอกจากนี้บ่อเลี้ยงลูกจระเข้ควรอยู่ในที่สงบไม่มีผู้คนพลุกพล่านหรือมีเสียงอึกทึก
6. งดอาหารสัปดาห์ละ 1 – 2 วัน
โดยปกติลูกจระเข้ในธรรมชาติ ไม่สามารถหาอาหารกินจนอิ่มได้ทุกวัน จึงทำให้จระเข้ไม่อ้วนจนเกินไป
แต่สำหรับจระเข้ในฟาร์มนั้นจะมีอาหารให้กินโดยไม่ต้องออกแรงไปล่ามาเอง ทำให้จระเข้อ้วนมาก ซึ่งเป็นอันตรายต่อสุขภาพจึงควรงดอาหารสัปดาห์ละ 1 – 2 วัน ในขณะเดียวกันต้องระวังว่าอาหารที่ให้ในแต่ละวันไม่น้อยเกินไป โดยให้ประมาณร้อยละ 3 – 5 ของน้ำหนักตัว เพราะถ้าให้น้อยเกินไปเมื่อจระเข้หิวมาก ๆ จะกัดและกินกันเอง
7. ป้องกันพาหะนำโรค
ควรกำจัดขยะและแมลงวันบริเวณเลี้ยงลูกจระเข้ให้ถูกสุขลักษณะ เพราะถ้าไม่ดูแลให้ดีแมลงวันมา
ตอมขยะและตอมอาหารก็จะทำให้อาหารสกปรก ลูกจระเข้กินอาหารเข้าไปมีโอกาสติดเชื้อทำให้เกิดลำไส้อักเสบได้ สุขภาพของคนเลี้ยงและการรักษาความสะอาดของคนเลี้ยงมีส่วนสำคัญเพราะถ้าสุขภาพไม่ดี การรักษาความสะอาดร่างกายไม่ดีอาจเป็นพาหะนำเชื้อโรคมาสู่ลูกจระเข้ได้
8. ปรับอุณหภูมิที่เหมาะสมให้
อุณหภูมิเป็นสิ่งสำคัญสำหรับการเลี้ยงจระเข้เช่นกันโดยเฉพาะลูกจระเข้ อุณหภูมิที่เหมาะสมในการ
เลี้ยงจระเข้อยู่ในระหว่าง 28 – 32 องศาเซลเซียส หากอุณหภูมิเย็นไปหรือร้อนไปจะทำให้จระเข้กินอาหารน้อยและเจริญเติบโตช้า ในฤดูร้อนจระเข้จะกินอาหารได้มาก ระบบย่อยอาหารทำงานได้ดีการเคลื่อนไหวของลำไส้เป็นปกติ ลูกจระเข้เจริญเติบโตเร็ว ส่วนในฤดูหนาวการเคลื่อนไหวของกระเพาะลำไส้ลดลง การย่อยอาหารเป็นไปได้ช้า อาหารตกค้างอยู่ในลำไส้นาน ทำให้จระเข้กินอาหารน้อย เติบโตช้า และช่วงนี้ที่ทำให้ภูมิต้านทานโรคของจระเข้ต่ำลงอัตราเป็นโรคสูง
นับเป็นโชคดีของประเทศไทยที่อุณหภูมิเหมาะสมมากสำหรับการเลี้ยงจระเข้ กล่าวคือ ไม่
ร้อนเกินไปและไม่หนาวเกินไป ทำให้เกิดปัญหาในการเลี้ยงน้อย ผิดกับบางประเทศที่หนาวจะหนาวมากจนต้องหาน้ำอุ่นมาเลี้ยงจระเข้หรือทำเป็นห้องที่ปิดสนิทและควบคุมอุณหภูมิให้อุ่นอยู่ตลอดเวลาทำให้ต้นทุนในการเลี้ยงจระเข้สูงขึ้น
ในฤดูหนาวการเพิ่มอุณหภูมิให้กับลูกจระเข้หากทำได้ก็จะเป็นการดี เพราะจะทำให้ลูก
จระเข้กินอาหารได้ดีขึ้นและแข็งแรงขึ้นเราสามารถเพิ่มอุณหภูมิของบ่อเลี้ยงได้ง่ายๆและลงทุนไม่มากโดยใช้พลาสติกคลุมปิดให้มิดชิดทำเป็นลักษณะเรือนกระจกสำหรับปลูกต้นไม้( Green House ) วิธีนี้จะสามารถเพิ่มอุณหภูมิภายในบ่อได้โดยเมื่อแสงแดดส่องผ่านพลาสติกมาที่บ่อ ภายในบ่อก็จะสะสมความร้อนไว้โดยพลาสติกที่คลุมจะเป็นตัวกันมิให้ความร้อนหนีออกไปได้เร็ววิธีนี้จะเพิ่มอุณหภูมิภายในบ่อได้ถึง 3 – 4 องศาเซลเซียส เช่น ภายนอกอากาศ 25 องศาเซลเซียส ภายในบ่อจะมีอุณหภูมิ 28 – 29 องศาเซลเซียส ส่วนในตอนกลางคืนก็อาจเปิดไฟหลอดเพื่อเพิ่มอุณหภูมิได้พอพ้นฤดูหนาวก็ถอดพลาสติกที่คลุมออก เป็นการทำหร้องให้อุ่นโดยไม่ต้องกังวลว่าลูกจระเข้จะป่วยเพราะไม่ได้รับแสงแดด และประหยัดเหมาะสมกับเกษตรกรบ้านเรา
จากการติดตามเกษตรกรผู้เลี้ยงตามชนบทของประเทศไทยพบว่าการเลี้ยงในที่เงียบสงบและ
บ่ออยู่กลางแจ้งมีส่วนที่เป็นร่มเงา และส่วนที่แสงแดดส่องถึงครึ่งต่อครึ่ง ดูแลเอาใจใส่รักษาความสะอาดและให้อาหารเพียงพอ ภายใน 1 ปี ลูกจระเข้จะโตได้ยาวถึง 1 – 1.20 เมตร ซึ่งเป็นการเจริญเติบโตที่ดีมาก โดยเกษตรกรไม่จำเป็นต้องเพิ่มต้นทุนในการสร้างห้องควบคุมอุณหภูมิและค่าไฟฟ้าให้เปลือง ทางกลับกัน การเลี้ยงลูกจระเข้ในห้องที่ควบคุมอุณหภูมิ จะต้องดูแลเลี้ยงอาหารและต้องเสริมแคลเซียมและวิตามินดี ให้เหมาะสมด้วย เพราะลูกจระเข้จะป่วยเป็นโรคกระดูกอ่อนได้เนื่องจากไม่ได้อาบแสงแดดเลย
9. หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนแปลงของอุณหภูมิทันทีทันใด
แม้ว่าจระเข้เป็นสัตว์เลือดเย็น ปรับอุณหภูมิตามสิ่งแวดล้อมก็ตาม แต่หากอุณหภูมิของสิ่ง
แวดล้อมเปลี่ยนแปลงอย่างมากในทันทีทันใด 4 – 5 cจะทำให้ลูกจระเข้ช็อคตายได้ เช่นใช้น้ำที่เย็นมากหรืออุ่นมากเกินไปล้างบ่อ
10. คัดขนาดให้เท่ากัน
การเจริญเติบโตของลูกจระเข้นอกจากจะขึ้นกับสิ่งแวดล้อมที่เหมาะสม คุณภาพอาหารที่ดี จำนวน
อาหารเพียงพอ แล้วยังขึ้นกับพฤติกรรมของจระเข้ โดยปกติจระเข้จะมีการจัดลำดับชั้นและความเป็นจ่าฝูง ตัวที่เป็นจ่าฝูงมักจะมีลักษณะที่ทำให้สัตว์ตัวอื่นเกรงกลัว จะเป็นตัวที่ได้กินอาหารก่อน และได้กินมากกว่าตัวอื่น ส่วนตัวที่มีลักษณะด้อยกว่าจะได้กินอาหารทีหลัง ถ้าอาหารมีปริมาณน้อยก็อาจหมดก่อนไม่ได้กินแต่ขณะเดียวกัน ถ้าให้อาหารมากสัตว์ที่ด้อยกว่าจะมีความเกรงกลัวอยู่ก็จะกินอาหารแต่เพียงเล็กน้อยเท่านั้น แม้ในลูกจระเข้เล็กๆจะไม่เห็นชัดเจนเหมือนจระเข้ใหญ่ในกรณีจระเข้ไล่กัดกันหรือแบ่งอาณาเขต แต่เราจะเห็นได้จากเจริญเติบโตของลูกจระเข้ จากการทดลองเลี้ยงลูกจระเข้แรกเกิดจำนวน 30 ตัว ทุกตัวมีสุขภาพสมบูรณ์ น้ำหนักและความยาวใกล้เคียงกันในบ่อเดียวกันให้อาหารที่เพียงพอและจะมีเหลือในบ่อทุกวัน พบว่าลูกจระเข้จะโตไม่เท่ากัน ในเดือนที่ 1 จะเห็นความแตกต่างของการเจริญเติบโตตัวที่โตช้ามีขนาดเล็กน้ำหนักเพียง 60 กรัม ในขณะที่ตัวโตเร็วมีขนาดใหญ่ น้ำหนัก 95 กรัม และความแตกต่างของขนาดจระเข้จะมากขึ้นเรื่อย ๆ ดังตาราง
ตารางน้ำหนักต่ำสุดและสูงสุด ของลูกจระเข้ที่นำมาเลี้ยงในบ่อเดียวกัน 30 ตัว เป็นเวลา 12 เดือน จำแนกตามเดือนที่เลี้ยง
By: ปัญญา ยังประภากร
Monday, December 10, 2007
Posted by
Karn Lekagul
at
9:37 PM
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
No comments:
Post a Comment