โดย น.สพ.กมลชาติ นันทพรพิพัฒน์
“จระเข้ในสวนสัตว์ก่อเหตุสยองงับแขนสัตวแพทย์จนขาดคาปาก หนังสือพิมพ์ลิเบอร์ตี้ ไทม์ส ของไต้หวัน รายงานเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 12 เม.ย. 2550 ว่า บรรดาศัลยแพทย์ ต้องใช้เวลากว่า 7 ชม. ผ่าตัดต่อแขนข้างซ้ายท่อนล่างให้นายชาง โป หยู วัย 38 ปี สัตวแพทย์ผู้ดูแลสวนสัตว์เส้าชาน ในเมืองเกาสง ทางภาคใต้ของไต้หวัน จนเป็นผลสำเร็จ หลังนายชางถูกจระเข้พันธุ์แม่น้ำไนล์ ขนาดยักษ์ อายุ 17 ปี ที่หนักถึง 300 กิโลกรัม ของสวนสัตว์ดังกล่าว กัดแขนขาดคาปากอย่างน่าสยดสยอง เหตุร้ายเกิดขึ้นหลังจากนายชางยิงลูกดอกบรรจุยาสลบใส่จระเข้ตัวดังกล่าว เพื่อทำให้หมดฤทธิ์ แล้วรักษาอาการเจ็บป่วยของจระเข้ จากนั้นนายชางได้ยื่นแขนเข้าไปในกรงจระเข้ เพื่อถอนลูกดอกและให้ยารักษาจระเข้ โดยไม่ทันสังเกตเห็นว่ายาสลบยังไม่ออกฤทธิ์เต็มที่ และจู่ๆโดยไม่มีใครคาดฝัน จระเข้ได้อ้าปากงับแขนของนายชางจนขาดคาปาก”
โดยธรรมชาติของจระเข้จะมีพฤติกรรมที่ค่อนข้างจะเหมือนกันทุกวัน นั่นคือนอนบนบก หรือไม่ก็ลอยน้ำ ตอนลอยน้ำจะสังเกตเห็นการโบกของท่อนหางได้และการทำงานก็มักไม่ค่อยจะทำเมื่อจระเข้เอาตัวเองลงน้ำ จะทำงานก็ตอนจระเข้อยู่บนบก ซึ่งก็คาดเดาพฤติกรรมค่อนข้างยาก ไม่เหมือนกับสัตว์ชนิดอื่น ๆ ที่มีการเคลื่อนไหวแสดงออกถึงพฤติกรรมต่าง ๆ หากเป็นพฤติกรรมที่ไม่น่าไว้ใจ พฤติกรรมที่บ่งบอกถึงพร้อมที่จะทำร้ายเราได้ทุกวินาที เมื่อนั้นเราก็หยุดไม่ดำเนินการต่อ แต่จระเข้ไม่เป็นเช่นนั้นแล้วเราจะทราบได้อย่างไร
จระเข้ป่วยจะรู้ได้อย่างไร
เราจะรู้ได้อย่างไรว่าจระเข้ป่วย จระเข้เป็นสัตว์เลือดเย็นดังนั้นอัตราเมตาโบลิซึ่มค่อนข้างต่ำ การให้อาหารจระเข้ที่โตเต็มวัยมักจะให้สัปดาห์ละครั้งเท่านั้น และมักจะให้ในช่วงที่แดดออก หากเป็นช่วงหน้าหนาวบางครั้งจระเข้ก็มักไม่กินอาหารที่ให้เลย ดังนั้นการดูว่าจระเข้ไม่กินอาหารถือว่าเป็นจระเข้ป่วยก็มักจะไม่ถูกต้องเสมอไป ให้ดูรายละเอียดโดยรวมคือ
1. จระเข้ที่ปกติมักจะมีความดุร้ายหากไปแหย่ ( โดยใช้ไม้ยาว ๆ แหย่นะครับ อย่าใช้นิ้ว ) จระเข้ก็มักจะหันมางับหรือไม่ก็วิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว หากจระเข้นิ่งเฉย ไม่มีปฏิกิริยาตอบโต้ก็เข้าข่ายป่วย
2. จระเข้ที่ผอม ผอมกว่าตัวอื่น ๆ หรือว่าผอมจนเหลือแต่โครงร่าง สามารถนับซี่โครงได้ก็แสดงว่าป่วยแน่ ๆ ต้องมีอะไรที่ผิดปกติ ส่วนมากหากเจอผอมแบบนี้ก็มักเจอสิ่งแปลกปลอมอย่างเช่น ถุงพลาสติก ขวดน้ำ ก้อนหินอัดแน่นอยู่ในกระเพาะก็ต้องทำการรักษาต่อไป
3. จระเข้ที่มีตะไคร่ขึ้นตามลำตัว หรือขึ้นตามฟัน นั่นก็แปลว่าจระเข้จะอยู่แต่ในน้ำ โดยสัญชาติญาณหากจระเข้รู้ว่าตัวเองป่วยมักจะหลบซ่อนตัวในน้ำ ไม่ยอมขึ้นมาจากน้ำจนลอยตายในน้ำก็มี และจระเข้ที่มีตะไคร่ขึ้นตามไรฟันนั่นก็แปลว่าจระเข้ไม่ได้กินอะไรเลย ฟันไม่ได้ใช้ในการกัดเหยื่อ ทำให้ตะไคร่สามารถขึ้นได้ แต่ก็ไม่สามารถใช้ได้กับจระเข้ทุกสายพันธุ์นะครับ จะมีจระเข้บางสายพันธุ์ที่อาศัยอยู่แต่ในตลอดจนลำตัวมีแต่ตะไคร่เต็มไปหมด
4. ดวงตาจระเข้ที่ปกติจะใส เห็นเป็นประกาย หากพบดวงตาที่ขุ่นมีน้ำตา หรือขี้ตานั่นก็เข้าข่ายว่าเป็นจระเข้ป่วย
วิธีการจับจระเข้
หากพบว่ามีจระเข้ป่วยและต้องดำเนินการจับ นั่นต้องอาศัยผู้ที่เชี่ยวชาญเท่านั้นนะครับ ไม่ใช่ว่าใคร ๆ ก็สามารถจับได้ จระเข้ตัวเล็ก ๆ ยาวประมาณ 1 – 2 เมตรก็สบายหน่อย แต่หากเป็นจระเข้ที่อายุมาก ๆ และเป็นตัวผู้ด้วยแล้วละก้อมักมีความยาวมากกว่า 3 เมตร หากเป็นจระเข้แม่น้ำไนล์อย่างที่เป็นข่าวนั่นก็ไม่ต่ำกว่า 4 เมตรละครับ น้ำหนักก็มากตามความยาวที่เพิ่มขึ้น มีวิธีการจับจระเข้มาเล่าให้ฟังดังนี้
1. ทำเชือกให้เป็นห่วงเพื่อใช้โยนให้คล้องเข้ากับต้นคอของจระเข้ เมื่อคล้องได้จังหวะนี้ตัวจระเข้มักจะหมุนตัวเพื่อให้ตัวเองหลุดออกจากห่วง หากห่วงแน่นก็จะไม่หลุด ปล่อยให้จระเข้หมุนตัว ไม่ต้องตกใจเป็นการดีด้วยเพื่อให้จระเข้ใช้กำลังมาก ๆ จระเข้ก็จะหมดแรง ไม่มีแรงที่จะขัดขืน หลังจากนั้นให้ทำห่วงอีกห่วงเพื่อใช้คล้องบริเวณปากเพื่อรัดปากไม่ให้จระเข้สามารถงับได้ ที่เรียกว่า “เข้าคางเรือ” ดังภาพที่ 1,2
2. ทีมงานจับคนอื่น ๆ เข้าไปจับเพื่อทำให้จระเข้อยู่นิ่ง ๆ หากมีกระสอบสามารถนำมาคลุมบริเวณหัวเพื่อการปิดตาและปิดปาก ป้องกันไม่ให้จระเข้สามารถใช้ปากเพื่อมากัดคนจับได้ หลังจากจับบังคับให้จระเข้สามารถอยู่นิ่ง ๆ ได้แล้วให้ทำการมัดปากด้วยยาง หรือเทปกาว ดังภาพที่ 3
3. ในระหว่างนี้สัตวแพทย์สามารถเข้าไปทำการตรวจร่างกาย เก็บตัวอย่างเลือด อุจจาระหรือการทำแผล ฉีดยาได้
4. หากจำเป็นต้องมีการเคลื่อนย้ายตัวจระเข้ เพื่อความปลอดภัยจำเป็นต้องมีการใส่เสื้อให้กับจระเข้ คือการห่อผ้า หรือใช้ผ้ากระสอบคลุมแล้วเย็บผ้ากระสอบให้พอดีกับตัวจระเข้ ดังภาพที่ 4
รูปที่ 3 รูปที่ 4
การจับจระเข้โดยการใช้ยาสลบ
การใช้วิธีการนี้มักจะเป็นจระเข้ที่มีความดุร้ายมาก ขนาดตัวค่อนข้างใหญ่ และไม่มีผู้ที่เชี่ยวชาญทางด้านการจับจระเข้ในขณะนั้น ซึ่งการใช้ยาสลบเป็นการบังคับให้ได้ผลสมบูรณ์ ลดความเครียด ความเจ็บปวด ช่วยให้การปฏิบัติงานได้ดี กล้ามเนื้อคลายตัว และมีความปลอดภัยในการปฏิบัติงาน ดังนั้นวิธีการยิงลูกดอกยาสลบจึงมีความจำเป็น ซึ่งหากมีการใช้วิธียิงลูกดอกยาสลบควรมีการคำนึงถึงปัจจัยดังนี้
1. จัดเตรียมชุดอุปกรณ์ยิงยาสลบให้พร้อม เช่น ยาสลบ ยาแก้ยาสลบ ( antidose ) ทีมงานที่ช่วยในการควบคุมหลังจากยิงยาสลบเรียบร้อยแล้ว รวมทั้งเตรียมสถานที่ให้พร้อมอย่างเช่น สิ่งกีดขวางในบ่อที่อาจเป็นอุปสรรคในการทำงานให้นำออกไปก่อน หากมีบ่อน้ำหรือแอ่งน้ำควรจะปล่อยน้ำออกจากบ่อให้หมดเพื่อป้องกันไม่ให้จระเข้หนีลงน้ำหลังจากยิงยาสลบ หาทำเลในการยิงยาสลบให้เหมาะสมกับตำแหน่งที่ต้องการ มีการอดอาหารจระเข้หากต้องมีการจับเพื่อป้องกันการสำรอกหรือการจับที่รุนแรงอาจส่งผลให้กระเพาะอาหารแตกได้
2. การเลือกใช้ยาสลบ เลือกตามความเหมาะสมในการใช้ร่วมกับลูกดอกยิงยาสลบ และเลือกตามความชำนาญในการใช้ยาชนิดนั้น ๆ ของสัตวแพทย์ และตามยาที่มีใช้อยู่ เช่น
Ketamine 12 – 15 mg/kg
Tiletamine + Zolazepam 2 – 10 mg/kg
Tricaine methanesulfonate 80 – 90 mg/kg
Etorphine 0.5 – 1.5 mg/kg
Medetomidine 0.15 - 0.3 mg/kg
Atipamezole 0.8 – 1.51 mg/kg
Xylazine 0.10 - 1.25 mg/kg
3. ประมาณน้ำหนักตัวของจระเข้ที่จะทำการยิงยาสลบ ดังนี้
จระเข้ความยาว 1 เมตร จะมีขนาดน้ำหนักตัวประมาณ 3 -8 กิโลกรัม
จระเข้ความยาว 2 เมตร จะมีขนาดน้ำหนักตัวประมาณ 35 – 40 กิโลกรัม
จระเข้ความยาว 3 เมตร จะมีขนาดน้ำหนักตัวประมาณ 120 – 150 กิโลกรัม
จระเข้ความยาว 4 เมตร จะมีขนาดน้ำหนักตัวประมาณ 240 – 260 กิโลกรัม
4. เลือกตำแหน่งของกล้ามเนื้อที่จะทำการยิงยาสลบ โดยหลีกเลี่ยงการยิงยาสลบเข้ากล้ามเนื้อขาหลังเพราะยาจะผ่านการทำงานของไต ( RENAL PORTAL SYSTEM ) ทำให้ปริมาณยาสลบที่คำนวณได้บางส่วนจะถูกขับออกก่อนที่ยาจะออกฤทธิ์ อาจเป็นผลให้จระเข้ไม่สลบ หากจำเป็นที่ต้องยิงยาสลบเข้าที่ส่วนล่างของลำตัวอย่างเช่น บริเวณกล้ามเนื้อโคนหาง ( บ้องตัน ) ควรจะเพิ่มปริมาณความเข้มข้นของยาตามความเหมาะสม
5. ข้อควรระวังหลังจากการใช้ลูกดอกยิงยาสลบ
5.1 อย่าลืมว่าจระเข้เป็นสัตว์เลือดเย็น เพราะฉะนั้นการดูดซึมยาสลบจะค่อนข้างช้ากว่าสัตว์เลือดอุ่นทั่วไป จากที่สัตว์เลือดอุ่นหลังจากได้รับยาจะออกฤทธิ์ ( induction times ) ประมาณ 5 – 10 นาที แต่จระเข้ต้องรอนานถึง 20 นาทีขึ้นไป เพราะฉะนั้นอย่าใจร้อน อาจต้องการทราบว่าจระเข้เริ่มที่จะสลบหรือยังให้ใช้ไม้ยาว ๆ แหย่ตรงตำแหน่งที่ค่อนข้างไวต่อความรู้สึกเช่น ตรงบริเวณจมูก หรือโคนขาทั้งสี่ ระยะที่ยาสลบหมดฤทธิ์ ( recovery times ) ประมาณ 45 - 60 นาที การสลบแล้วให้สังเกตว่าจะไม่สามารถอ้าปากได้ ไม่กัด ไม่มีการกระพริบตา ไม่มีความรู้สึกเจ็บหรือดึงกลับเวลาดึงเท้าหน้า
5.2 อุณหภูมิของสิ่งแวดล้อมก็มีผลต่อการออกฤทธิ์ของยาสลบเช่นกัน หากเป็นช่วงกลางวันที่มีแดดออก อุณหภูมิสิ่งแวดล้อมประมาณ 25 – 30 องศาเซลเซียสผลของยาสลบค่อนข้างดี แต่หากเป็นอุณหภูมิห้องควบคุมอากาศ ( ห้องแอร์ ) ที่ 20 – 24 องศาเซลเซียสการออกฤทธิ์ของยาจะค่อนข้างช้าหากจำเป็นอาจจะต้องมี warm pad รองใต้ตัวจระเข้เพื่อการควบคุมอุณหภูมิจระเข้อีกทีหนึ่ง
5.3 จระเข้มีเกร็ดตามลำตัวค่อนข้างหนา และแข็ง ดังนั้นการใช้วิธีการเป่าลูกดอก
โดยไม่มีปืนที่เก็บลมนั้นค่อนข้างที่จะต้องใช้แรงที่มาก และระวังการกระดอนกลับของลูกดอก เพราะฉะนั้นในระยะรัศมีของวิถีต้องไม่มีคนอยู่ ควรกันคนออกนอกอาณาเขตให้ได้มากที่สุด และควรมีลูกดอกสำรองในกรณีที่การยิงลูกดอกในครั้งแรกไม่ได้ผล ลูกดอกชุดที่สองเตรียมพร้อมที่จะใช้งานได้ทันที
5.4 ยาต้านฤทธิ์ยาสลบควรเตรียมก่อนที่จะมีการเตรียมยาสลบเพื่อความปลอดภัยทั้งสัตวแพทย์และตัวจระเข้ เช่น โยฮิมบีน (yohimbine) ใช้ต้านฤทธิ์ของ xylazine , โดซาแพม(doxapam) ใช้ต้านฤทธิ์ของ Tiletamine + Zolazepam
3 comments:
บ้านญ.อยู่สมุทรปราการ ตั้งแต่เด็กๆคุณพ่อคุณแม่พาไปเที่ยวที่ฟาร์มจรเข้บ่อยๆค่ะจึงได้มีโอกาสดูโชว์การจับจรเข้ด้วยมือเปล่าน่าหวาดเสียวจัง เวลามันงับเสียงดังปั๊บๆๆ แล้วที่คุณหมอกมลชาติเกริ่นเหตุการณ์ต้นเรื่องไม่ทราบว่าเป็นคลิปเดียวกันกับที่ญ.เคยเห็นหรือเปล่าน๊า! จระเข้เวลามันกัดเนี่ยน่ากลัวจังเลยค่ะ ยังสยดสยองไม่หายเลย..เพิ่งจะทราบเหมือนกันว่าเวลาจะรักษาจระเข้ใช้ลูกดอกยิงยาสลบเหมือนกัน แต่เห็นคุณลุงที่เป็นหมอจระเข้บอกว่าหากปิดตามันแล้วมัดปากก็เอาอยู่..อิอิ..คุณหมอสัตวแพทย์ไม่ใช่หมอจระเข้นี่เนอะ..คงไม่มีอาคมสะกดมันได้จึงต้องอาศัยปืนยิงยาสลบเป็นสิ่งที่ถูกต้องแล้วค่ะ..ขอบพระคุณคุณหมอมากนะคะได้รับอาหารสมองจาก Blog นี้เพียบเลยค่ะ
ตอบคุณหญิงนะครับ ก่อนอื่นต้องขอแอบอิจฉาคุณหญิงนิด ๆ ที่มีโอกาสได้เที่ยวบ่อย มิน่าล่ะคุณพ่อคุณแม่ปลูกฝังมาตั้งแต่เด็กโดยการพาไปเที่ยวสวนสัตว์นี่เอง โตขึ้นจึงเป็นคนชอบเที่ยวและรักสัตว์ ( หากกล่าวผิดต้องขออภัย )
ที่ผมเกริ่นข่าวข้างต้นเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่สวนสัตว์ในไต้หวันครับไม่ใช่ในเมืองไทย แต่ในเมืองไทยก็มีบ่อยครับทั้งเป็นข่าวและไม่เป็นข่าว จำได้เมื่อประมาณ 2 ปีก่อนที่เป็นข่าว(หาดูได้ใน youtube.com)ดูแล้วน่าหวาดเสียว จริง ๆ เป็นน้องที่รู้จักกันแหละครับปัจจุบันแขนข้างที่ถูกจระเข้งับก็ยังคงใช้งานได้ไม่เหมือนเดิม จากประสบการณ์ของผมการวางยาสลบจระเข้จะน้อยมากนะครับ ส่วนมากมักจะจับกันแบบสด ๆ เพียงแต่การจับต้องจับโดยผู้มีประสบการณ์ รวมทั้งทำงานกันเป็น teamwork ในการเลี้ยงจระเข้ที่เป็นระบบฟาร์มจริงๆ จะมีทีมงานเฉพาะสำหรับการจับจระเข้ ซึ่งในการจับสิ่งที่ต้องระวังเป็นที่สุดคือฟันเพราะฉะนั้นสิ่งแรกที่ต้องทำคือการมัดปากให้ได้ แต่ก็ยังไม่สิ้นฤทธิ์ซะทีเดียวหรอก เคยได้ยินจระเข้ฟาดหางไหมครับ ของจริงผมก็โดนมาแล้ว ถึงกับล้มและระบมไปหลายวัน ส่วนในการแสดงนั้นการเรียนรู้พฤติกรรมจระเข้นั้นเป็นสิ่งสำคัญ อยากให้คุณหญิงไปดูอีกและสังเกตอีกที ตั้งแต่การเลือกใช้จระเข้โชว์แต่ละตัว แต่ละตัวก็โชว์แต่ละท่า การจัดท่าทางของจระเข้ระหว่างแสดงว่าทำไมต้องจัดท่าแบบนี้ แล้วคนโชว์ไม่กลัวโดนงับหัวหรือเวลาเอาหัวเข้าปากจระเข้ จริง ๆ การโชว์ส่วนมาก คนโชว์จะดึงพฤติกรรมปกติของจระเข้มาบวกกับการแสดงให้น่าตื่นเต้น และให้ถูกใจคนดู หรือใครได้อ่านก็ขอเชิญชวนให้ไปดูครับ แต่หากท่านใดใจไม่ถึงไม่แนะนำ ฮิ ฮิ แต่ถึงอย่างไรผมดูโชว์จระเข้กี่ครั้ง กี่ครั้งก็หวาดเสียวทุกที
เหะๆๆ แหม๋คุณหมอทายแม่นจังเลยค่ะ..ป๋าพาเที่ยวสวนสัตว์ตั้งแต่เด็กที่บ่อยสุดก็มีฟาร์มจระเข้กับเขาดินนี่แหละค่ะ..อ้อ..มีพาต้าด้วยญ.จำได้..ส่วนเขาเขียวนี่นานๆทีเพราะแต่ก่อนยังไม่มีรถคุณพ่อพาไปลำบาก..พอญ.ออกรถกระบะวันแรกก็พาที่บ้านฮ่อไปสวนสัตว์เปิดเขาเขียวเพื่อระลึกถึงความหลังซะเลย..อิอิ..ขอบพระคุณมากนะคะคุณหมอกมลชาติน่ารักจังเลย^-^ ญ.เคยดูสารคดีที่นายสตีฟ เออร์วินส์ <-- เหะๆเขียนภาษาEng กลัวจะผิดเหะๆ(ตอนนั้นยังมีชีวิตอยู่) สาธิตการจับจรเข้กับโดนจระเข้ฟาดหางเข้าให้..ตาคนนี้ห่ามๆไม่น้อยเลย ..คนที่อยู่ในคลิปเป็นน้องที่รู้จักของคุณหมอเหรอคะ..น่าสงสารท่านจังเลยเป็นกำลังใจให้ท่านด้วยนะคะ..อิอิ..เพิ่งจะรู้ว่าคุณหมอก็เคยโดนจระเข้ฟาดหางเล่นงานเข้าให้แล้วตายจริงคุณหมอเจ็บมากไหมคะ? น่าสงสารจังเลยค่ะ..อันตรายไม่ใช่เล่นเลยนะคะ..เหะๆๆ มันฉลาดเนอะเล่นตัดช่วงล่างคุณหมอยังงี้ไม่ทันตั้งตัว..น่าจับตีก้นให้เข็ดเจ้าจรเข้ใจร้ายทำคุณหมอได้..อิอิ..ขออนุญาติแซวหน่อยนะคะ หวังว่าคุณหมอคงไม่ถือญ.หรอกเนอะ..คุณหมอออกจะน่ารัก..อิอิ..ขอบพระคุณสำหรับ Comment มากๆนะคะและยินดีที่ได้รู้จักคุณหมอกมลชาติค่ะ ญ.ขอเป็นกำลังใจในการทำงานและจะติดตามอ่านเรื่องต่อๆไปของคุณหมอนะคะ..สู้ๆค๊ะ^-^
Post a Comment