ประเทศไทยจัดว่าเป็นอีกประเทศหนึ่งที่มีงูอาศัยอยู่ชุกชุมโดยมีทั้งงูมีพิษและงูไม่มีพิษ รายงานอุบัติการณ์ของการถูกงูกัดทั้งในมนุษย์และในสัตว์เลี้ยงพบได้บ่อยครั้ง ซึ่งการถูกงูพิษกัดนับเป็นภาวะฉุกเฉินที่จำเป็นต้องได้รับการรักษาอย่างถูกต้องและรวดเร็ว แต่ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับพิษวิทยาเบื้องต้นและแนวทางการรักษาสัตว์เลี้ยงที่ถูกงูกัดในประเทศไทยยังไม่เป็นที่แพร่หลายเท่าที่ควร การรักษาจึงมักเป็นการถ่ายทอดประสบการณ์ของแต่ละบุคคลซึ่งทำให้มีวิธีการในการรักษาแตกต่างกันไป งูในประเทศไทยมีจำนวนกว่า 190 ชนิด จัดเป็นงูพิษประมาณ 60 ชนิด แต่มีเพียงไม่กี่ชนิดที่มีการกัดสัตว์เลี้ยงและนับว่ามีความสำคัญทางสัตวแพทย์ ฉะนั้นความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับงู และอาการแสดงทางคลินิคที่เกิดขึ้นจะช่วยให้สัตวแพทย์สามารถวินิจฉัยและให้การรักษาได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
การจำแนกงูพิษและงูไม่มีพิษ
การจำแนกชนิดงูว่ามีพิษหรือไม่มีพิษด้วยลักษณะทางกายภาพนั้น ไม่มีหลักเกณฑ์ตายตัว ต้องอาศัยการจดจำลักษณะของงูแต่ละชนิด แต่เมื่อกล่าวถึงงูมีพิษจะหมายถึงงูที่มีกลไกของพิษ (venom apparatus) ซึ่งประกอบไปด้วย ต่อมน้ำพิษ (venom gland) ท่อนำน้ำพิษ (venom duct) และเขี้ยวพิษ (venom fangs) นั่นเอง งูสามารถจำแนกตามลักษณะฟันและเขี้ยวได้เป็น 4 กลุ่ม คือ กลุ่มงูไม่มีเขี้ยวพิษ (Aglyph) กลุ่มเขี้ยวพิษในหรือเขี้ยวพิษหลัง (Opistoglyph) และกลุ่มเขี้ยวพิษหน้า ซึ่งแบ่งเป็น กลุ่มเขี้ยวพิษสั้น (Proteroglyph) และเขี้ยวพิษยาว (Solenoglyph)
งูพิษในประเทศไทยที่มีความสำคัญทางสัตวแพทย์
งูพิษที่มีความสำคัญทางสัตวแพทย์ในที่นี้จะกล่าวถึงงูที่มีพิษอันตรายต่อร่างกายหรือต่อชีวิตของสัตว์เลี้ยงและพบว่ามีอุบัติการณ์เกิดขึ้น โดยทั้งหมดจัดอยู่ในกลุ่มงูเขี้ยวพิษหน้า ในวงศ์ Elapidae ได้แก่ งูจงอาง (King cobra ; Ophiophagus hannah) งูเห่าไทย (Siamese cobra ; Naja kaouthia) และวงศ์ Viperidae ได้แก่ งูแมวเซา (Siamese Russell’s viper ; Daboia russelii siamensis) งูกะปะ (Malayan pitviper ; Calloselasma rhodostoma) และกลุ่มงูเขียวหางไหม้ (Green pitviper ; Cryptelytrops sp.)
พิษวิทยา
พิษงูเป็นของเหลวใสไม่มีสีหรือมีสีเหลืองอ่อนจนถึงสีเหลืองเข้มอมส้ม โดยมีองค์ประกอบหลักคือน้ำ โปรตีน อนุพันธ์ของโปรตีน และสารประกอบอื่นที่ไม่ใช่โปรตีน โดยส่วนที่เป็นโปรตีนแบ่งเป็นส่วนย่อย 2 ส่วน คือ พิษ (toxin) และน้ำย่อย (enzyme) พิษงูสามารถแบ่งออกได้ตามลักษณะการออกฤทธิ์ต่อระบบต่างๆ ของร่างกาย โดยแบ่งออกเป็นกลุ่มหลัก 3 กลุ่ม คือ
1. กลุ่มออกฤทธิ์ต่อระบบประสาท (Neurotoxin) พิษงูกลุ่มนี้จะทำการเข้าจับกับ receptor บนกล้ามเนื้อลายหรือบริเวณรอยต่อระหว่างปลายประสาทกับกล้ามเนื้อลาย (neuromuscular junction) ส่งผลให้สารสื่อประสาทไม่สามารถถ่ายทอดสัญญาณไปสู่กล้ามเนื้อลายได้ตามปกติ เกิดอาการเป็นอัมพาตทั่วร่างกาย กล้ามเนื้อลิ้น กล้ามเนื้อตา กล้ามเนื้อที่ใช้ในการกลืน การพูดและการหายใจจะเป็นอัมพาต ทำให้หนังตาตก ลืมตาไม่ได้ การหายใจล้มเหลว (respiratory failure) และตายในที่สุด งูที่มีพิษต่อระบบประสาท ได้แก่ งูจงอาง งูเห่า กลุ่มงูสามเหลี่ยม กลุ่มงูพริกและงูปล้องหวาย
2. กลุ่มออกฤทธิ์ต่อระบบโลหิต (Haemotoxin) พิษในกลุ่มนี้จะมีผลต่อ clotting factors ทำให้เกิดอาการเลือดแข็งตัวช้า หรือไม่แข็งตัว โดยมีกลไกการออกทธิ์ที่แตกต่างกันไป งูที่มีพิษต่อระบบโลหิต ได้แก่ งูแมวเซา งูกะปะ และกลุ่มงูเขียวหางไหม้
- พิษงูแมวเซาจะมีผลกระตุ้น factor V (proaccelerin) และ X (Stuart-Prower factor หรือ prothrombinase) ทำให้ clotting factor ต่างๆ ถูกใช้ไป เมื่อเกิดบาดแผลขึ้นจึงไม่มี clotting factor เพียงพอ ส่งผลให้เลือดไม่แข็งตัวนั่นเอง
- พิษงูกะปะ และกลุ่มงูเขียวหางไหม้ จะมีผลทำลาย factor I (fibrinogen) ทำให้มีระดับ fibrinogen ในเลือดต่ำและเกิดภาวะเลือดออกตามมาได้
3. กลุ่มออกฤทธิ์ต่อระบบกล้ามเนื้อ (Myotoxin) พิษจะมีผลต่อกล้ามเนื้อลาย ทำให้ปวดกล้ามเนื้อและมีการตายของกล้ามเนื้อทั่วร่างกาย (Rhabdomyolysis) ทำให้เกิดภาวะ myoglobinuria, hyperkalemia และ acute renal failure ได้ งูที่มีพิษต่อระบบกล้ามเนื้อ คือ กลุ่มงูทะเล ซึ่งไม่มีอุบัติการณ์ในสัตว์จึงไม่ขอกล่าวถึงรายละเอียดในที่นี่
นอกจากนี้พิษงูแต่ละชนิดยังมีส่วนประกอบที่มีผลต่อระบบอื่นๆ แตกต่างกันไป เช่น cytotoxin, cardiotoxin, nephrotoxin รวมไปถึงเอนไซม์หลายชนิด เช่น phospholipase, hyaluronidase, metalloproteinases ฯลฯ ซึ่งล้วนแล้วแต่ทำให้เกิดความเสียหายในร่างกายได้เช่นเดียวกัน
ลักษณะอาการแสดงทางคลินิค
การศึกษาอาการแสดงทางคลินิคทางสัตวแพทย์ในปัจจุบันยังมีไม่มากนัก โดยส่วนใหญ่จะเป็นการรวบรวมลักษณะอาการแสดงจากประสบการณ์ของสัตวแพทย์หลายๆ บุคคล โดยเทียบเคียงกับอาการแสดงในคน ทั้งนี้อาจมีอาการบางอย่างที่มีความแตกต่างกันได้ โดยอาการแสดงทั่วไปในของการถูกงูแต่ละชนิดกัดมีดังนี้
1. งูเห่า (Naja kaouthia) และงูจงอาง (Ophiophagus hannah)
ผิวหนังบริเวณที่ถูกกัดจะมีอาการบวม สัตว์จะแสดงอาการเจ็บในบริเวณที่ถูกกัด ในกรณีรุนแรงสามารถพบการเกิดเนื้อตาย (necrosis) บริเวณที่ถูกกัดหรือบริเวณรอยเขี้ยวได้ จากนั้นสัตว์จะเริ่มมีอาการอ่อนแรง ทรงตัวไม่ได้ ล้มตัวลงนอน ลืมตาไม่ได้ หายใจอ่อนแรงถึงหายใจลำบาก เยื่อเมือกม่วง (cyanosis) จนกระทั่งหยุดหายใจและเสียชีวิตในที่สุด
2. งูแมวเซา (Daboia russelii siamensis)
บริเวณที่ถูกกัดจะมีเลือดออกมาก เลือดแข็งตัวช้า สามารถพบเลือดออกตามเยื่อเมือกได้ สัตว์จะมีความดันโลหิตต่ำ เม็ดเลือดแดงถูกทำลาย สามารถพบภาวะ hemoglobinuria จนกระทั่งถึง hematuria ได้ พิษของงูแมวเซายังมีผลต่อไตทั้งทางตรงและทางอ้อมส่งผลให้เกิดภาวะ oliguria หลังจากนั้นสามารถพบภาวะ polyuria ได้ และในรายที่รุนแรงสามารถทำให้เกิดภาวะไตวายเฉียบพลัน (acute renal failure) และเสียชีวิตในที่สุด
3. งูกะปะ (Calloselasma rhodostoma) และกลุ่มงูเขียวหางไหม้ (Cryptelytrops sp.)
โดยส่วนใหญ่พิษของงูกะปะและงูเขียวหางไหม้มักไม่รุนแรงถึงทำให้เสียชีวิต อาการส่วนใหญ่มักเป็นอาการเฉพาะที่ โดยบริเวณผิวหนังที่ถูกกัดจะมีอาการบวม สัตว์จะแสดงอาการเจ็บเป็นระยะเวลาหลายวัน ในบางกรณีการถูกงูกะปะกัดที่มีอาการรุนแรงสามารถทำให้เกิดเลือดออกในอวัยวะภายในได้
การรักษาสัตว์เลี้ยงที่ถูกงูพิษกัด
1. Specific treatment
วิธีการรักษาสัตว์เลี้ยงที่ถูกงูพิษกัดที่มีประสิทธิภาพสูงสุด คือ การใช้เซรุ่มแก้พิษงู ซึ่งเซรุ่มผลิตและจำหน่ายที่สถานเสาวภา สภากาชาดไทย เป็นชนิด monovalent purified antivenom ซึ่งต้องใช้ให้ตรงกับชนิดของงูที่กัด (specie specific) โดยเซรุ่มจะอยู่ในรูปแห้ง (lyophilized form) วิธีการใช้ให้ทำการผสมน้ำกลั่นลงในขวดเซรุ่มจากนั้นผสมในสารน้ำขนาด 100 มล. ชนิดใดก็ได้ นำไป drip เข้าเส้นเลือดดำ ส่วนปริมาณการใช้นั้นขึ้นกับการประเมินความรุนแรงของการได้รับพิษ โดยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นให้ที่ 1-2 ขวด/ตัว ให้จนหมดแล้วสังเกตอาการอย่างต่อเนื่อง ถ้าอาการดีขึ้นไม่จำเป็นต้องให้เพิ่ม แต่ถ้าอาการต่างๆ ยังคงดำเนินต่อไปอีกสามารถให้เพิ่มได้ทีละ 1 ขวด
ข้อควรระวัง : จากข้อมูลทางการแพทย์และรายงานทางสัตวแพทย์ในต่างประเทศ มีรายงานถึงอาการแพ้ภายหลังการให้ โดยมักแบ่งออกเป็น 2 ระยะ คือ ระยะเฉียบพลันซึ่งมักเกิดขณะการให้เซรุ่มหรือภายหลังการให้เซรุ่มไม่เกิน 2 ชั่วโมง โดยมีความรุนแรงแตกต่างกันไป ตั้งแต่มีเพียงอาการผื่นคัน จนไปถึงเกิดภาวะ anaphylactic shock และระยะ 5 -24 วันภายหลังการให้เซรุ่ม หรือภาวะ serum sickness โดยอาจพบอาการมีไข้ เป็นผื่น จนไปถึงปวดตามข้อ ต่อมน้ำเหลืองโต และกรวยไตอักเสบได้ ถึงแม้ว่าเซรุ่มแก้พิษงูในปัจจุบันจะมีการพัฒนาวิธีการผลิตทำให้ลดอัตราการเกิดภาวะแพ้เซรุ่ม และในสัตว์มักไม่ค่อยมีอาการแพ้เซรุ่มก็ตาม สัตวแพทย์ก็ควรพึงระวังการใช้เซรุ่มอยู่เสมอ ควรมีการเตรียมพร้อมเพื่อแก้ไขภาวะการแพ้ที่อาจเกิดขึ้น หรือการให้ antihistamine เช่น Chlorphenilamine หรือ Diphenhydramine ก่อนการใช้เซรุ่มก็สามารถช่วยลดการแพ้ได้
2. Symptomatic treatment
การรักษาตามอาการจัดว่ามีความสำคัญไม่น้อยไปกว่าการใช้เซรุ่มแก้พิษงู เนื่องจากการประเมินปริมาณพิษงูในกระแสเลือดจำเป็นต้องส่งเลือดไปทำการตรวจยังห้องปฏิบัติการ จึงมีโอกาสที่ปริมาณเซรุ่มที่ให้ไม่เพียงพอต่อการจับกับพิษในกระแสเลือด ทำให้อาการยังคงดำเนินต่อไปได้ ในกรณีดังกล่าวจำเป็นต้องมีการติดตามและใช้การรักษาตามอาการควบคู่ไปด้วยโดยสามารถปฏิบัติได้ดังนี้
- งูเห่า (Naja kaouthia) และงูจงอาง (Ophiophagus hannah) เนื่องจากผลของพิษงูจะทำให้เกิดการเป็นอัมพาตของกล้ามเนื้อลายรวมไปถึงกล้ามเนื้อที่ควบคุมการหายใจ การรักษาตามอาการที่สำคัญจึงเป็นการประคับประคองให้สัตว์ได้รับออกซิเจนอย่างเพียงพอ ซึ่งสามารถทำได้โดยการสอดท่อช่วยหายใจ (endotracheal tube) ร่วมกับการใช้เครื่องช่วยหายใจ และทำการถอดท่อช่วยหายใจออกเมื่อสัตว์เริ่มมีอาการดีขึ้น โดยอาจเริ่มจากการถอดเฉพาะเครื่องช่วยหายใจออกและให้สัตว์หายใจผ่านท่อช่วยหายใจ เมื่อมั่นใจว่าสัตว์สามารถหายใจได้เองแล้วจึงถอดท่อช่วยหายใจออก โดยปกติสัตว์มักจะกลับมาหายใจเองได้ภายใน 24 ชั่วโมง
- งูแมวเซา (Daboia russelii siamensis) เนื่องจากพิษมีผลต่อการแข็งตัวของเลือด ทำลายเม็ดเลือดแดง และมีผลต่อไต การรักษาจึงควรทำการให้สารน้ำอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นช่วยลดภาวะความดันโลหิตต่ำ รวมไปถึงช่วยทำให้มีการไหลเวียนของเลือดไปยังไตมากขึ้น ควรทำการตรวจเลือดทุก 6 ชั่วโมง เพื่อตรวจค่า hematocrit และ clotting time ถ้ามีภาวะของโลหิตจางร่วมกับการแข็งตัวของเลือดผิดปกติ ควรพิจารณาทำการถ่ายเลือด นอกจากนั้นควรติดตามสภาวะการทำงานของไตทั้งโดยการตรวจค่าชีวเคมีในเลือด และสอดท่อปัสสาวะเพื่อประเมินอัตราการกรองของไต และตรวจปัสสาวะเพื่อประเมินความเสียหายของไตควบคู่ไปด้วย
- งูกะปะ (Calloselasma rhodostoma) และกลุ่มงูเขียวหางไหม้ (Cryptelytrops sp.) โดยส่วนใหญ่พิษงูในกลุ่มนี้มักไม่มีอันตรายถึงชีวิต และอาจไม่จำเป็นต้องใช้เซรุ่ม การติดตามอาการของสัตว์ที่ถูกงูพิษในกลุ่มนี้กัดจึงเน้นไปที่การรักษาบาดแผล หากบาดแผลบวมมากสามารถให้สเตียรอยด์เพื่อช่วยลดอาการบวมได้ นอกจากนั้นควรทำการเจาะเลือดทุก 6 ชั่วโมง เพื่อติดตามผลการแข็งตัวของเลือด หากมีความผิดปกติควรทำการให้เซรุ่ม ซึ่งโดยส่วนใหญ่มักกลับมาเป็นปกติหลังจากได้รับเซรุ่มแล้ว
หมายเหตุ : ปัจจุบันยังคงมีการศึกษาเพิ่มเติมการถึงประสิทธิภาพของการลดอาการบวมโดยใช้ยาในกลุ่มสเตียรอยด์ซึ่งมีทั้งข้อมูลที่ได้ผลและไม่ได้ผล ทำให้การใช้สเตียรอยด์ยังคงเป็นที่ถกเถียงกันอยู่โดยทั่วไป และจากผลการศึกษาพบว่าการให้เซรุ่มแก้พิษงูสามารถช่วยลดอาการบวมได้ แต่ทั้งนี้ยังไม่มีแนวทางการรักษาอาการบวมที่ชัดเจน
3. ยาปฎิชีวนะ (Antibiotics)
เนื่องจาก normal flora ในปากงูจำนวนมากและสามารถทำให้เกิดการติดเชื้อแทรกซ้อน (secondary bacterial infection) บริเวณที่ถูกกัดได้ จึงจำเป็นต้องมีการให้ยาปฏิชีวนะเพื่อควบคุมการติดเชื้อเสมอ โดยเชื้อส่วนใหญ่มีทั้ง gram positive และ gram negative การเลือกใช้ยาจึงควรต้องสามารถออกฤทธิ์ได้ต่อแบคทีเรียทั้งสองกลุ่ม หรืออาจพิจารณาการใช้ยา 2 ชนิดร่วมกันได้
4. ยาลดอาการอักเสบและแก้ปวด (Anti-inflammatory and Analgesic dugs)
โดยส่วนมากผิวหนังบริเวณที่ถูกงูกัดและบริเวณโดยรอบมักมีอาการอักเสบ บวม และปวดอย่างรุนแรง จึงควรมีการให้ยาลดอาการอักเสบและแก้ปวด ซึ่งสามารถเลือกใช้ได้ทั้งยากลุ่มสเตียรอยด์ กลุ่ม NSAIDs และกลุ่ม Opioids แต่ในกรณีได้รับพิษต่อระบบประสาทควรหลีกเลี่ยงยาที่มีฤทธิ์กดระบบประสาทส่วนกลาง เนื่องจากอาจทำให้เกิดความสับสนในการวินิจฉัยได้ และหลีกเลี่ยงยาที่มีฤทธิ์เป็น antiplatelet เช่น aspirin ในกรณีที่ได้รับพิษต่อระบบเลือด เพราะทำให้มีอาการเลือดออกมากขึ้นได้
REFERENCES
บุญเยือน ทุมวิภาต และ วิโรจน์ นุตพันธุ์. 1982 (2525). การรักษาผู้ป่วยถูกงูพิษกัดและงูพิษในประเทศไทย. กทม. โรงพิมพ์พิฆเนศ. 45-57.
ไพบูลย์ จินตกุล. 2000 (2543). ความรู้ทั่วไปเกี่ยวกับงู และอนุกรมวิธานและการจำแนกประเภทของงู ใน งูพิษในประเทศไทย. พิมพ์ครั้งที่ 2. กทม. สำนักพิมพ์มติชน. 27-30, 53-56.
สุคนธ์ วิสุทธิพันธ์ และคณะ. 2003 (2547). แนวทางการดูแลรักษาผู้ป่วยถูกงูพิษกัด. สำนักพัฒนาวิชาการแพทย์ กรมการแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข. กทม. ชุมชนสหกรณ์การเกษตรแห่งประเทศไทย จำกัด. 1-10.
Chaiyabutr, N. 1999. Pathophysiological Effects of Russell’s Viper Venom on Renal Function. J. Natural Tox.. 8(3). 351-358.
Chaiyabutr, N. et al. 1984. Observations on general circulation and renal haemodynamics of experimental dogs given Russell’s viper venom. Thai J. Vet. Med. 14. 257-270.
Chanhome, L. et al. 2001. Catalogue of the herpetological collection of the Queen Saovabha Memorial Institute, Thai Red Cross Society, Bangkok. Part I. Snakes (except Elapidae and Viperidiae). Bullentin of the Maryland Herpetological Society, 37(2). 49-72.
Conceição, L.G. et al. 2007. Anaphylactic reaction after Crotalus envenomation treatment in a dog: case report. J. Venom. Anim. Toxins incl. Trop. 13(2).
Cox, M.J. 1991. The snakes of Thailand and their husbandry. Krieger Publishing Company, Malabar: i-xxxviii + 1-526.
Ferreira Júnior, R.S. and Barraviera B. 2001. Tissue Necrosis after Canine Bothropic Envenoming: A case report. J. Venom. Anim. Toxins 2001 7(2).
Sitprija, V. 2006. Snakebite Nephropathy : Review Article. Nephrology. Asian Pacific Society of Nephrology. 11. 442-448.
Sunday, February 3, 2008
แนวทางการรักษาสัตว์เลี้ยงที่ถูกงูกัด
An Official ZWVST Blog Discussion Topic
Posted by
น.สพ.ทักษะ เวสารัชชพงศ์
at
7:18 AM
Subscribe to:
Post Comments (Atom)
20 comments:
ขอบคุณมากนะคะ สำหรับข้อมูล..เมื่อปีที่แล้วน้องหมาที่บ้านไม่ทราบว่าตัวอะไรกัดแต่ลักษณะแผลที่ถูกกัดมีรอยเขี้ยวเพียงรูเดียวตอนที่ญ.ไปพบขาเริ่มบวมแล้วจึงรีบเอาเศษผ้ามารัดเหนือบาดแผลกันพิษกระจายแล้วรีบพาไปหาสัตวแพทย์..ก็ไม่ทราบว่าโดนสัตว์มีพิษอะไรกัดจึงฉีดยาลดบวมและยาปฏิชีวนะ แล้วก็เอายามาทารอดูอาการ 2 ชม.ก็ให้กลับบ้านแต่อาการบวมนี่น่ากลัวมากๆขาหน้าทั้งขาใหญ่ยังกะขาช้างเลยอ่ะค่ะ แถมยังมีเลือดซึมออกมาที่รอยกัดก็บวมจนปริ ผ่านไป 1 วันอาการบวมลดลงพอดีออนเอ็มถามคุณหมอล็อตท่านแนะนำให้ลางแผลและบีบเอาหนองและน้ำเหลืองที่ขาออก ญ.ก็ทำตามคำแนะนำน้องหมาอาการดีขึ้นจนหายเป็นปกติ พอดีเคยผ่านประสบการณ์นี้มาเลยขอมาร่วมแจมหน่อยนะคะ..โดยส่วนตัวคิดว่าหากเป็นงูมีพิษป่านนี้น้องหมาของญ.คงตายไปแล้วแน่ๆเลยเพราะไม่ได้ฉีดเซรุ่มน่ะค่ะ แต่เป็นไปได้ว่าอาจจะโดนตะขาบ หรืองูเขียวหางไหม้เล่นงานก็เป็นได้เพราะที่บ้านเป็นสวนมะพร้าวต้นไม้เยอะ..ขอบพระคุณคุณหมอมากนะคะ
YingeXtreme
ดีใจจังมีคนมาร่วมแจมแล้ว ขอบคุณมากๆ เลยครับ แล้วก็โล่งใจที่น้องหมาไม่ได้เป็นอะไร ตามที่เล่ามาก็คงจะสรุปยากว่าโดนอะไรครับ แต่ถ้าจะให้สันนิษฐานก็มีความเป็นไปได้เหมือนกันที่จะเป็นงูเขียวหางไหม้ แต่อาการบวมลดลงค่อนข้างเร็วพอสมควรเลยอาจจะไม่ใช่งูก็เป็นได้ครับ เอาเป็นว่าปลอดภัยก็ดีแล้วเนอะ
What about the concept of High-dose steroid? Is it still used?
เคส สุนัขแทะซากงูเขียวหางไหม้
ก็พบ อาการบวมบริเวณรอบปาก เช่นกัน
การรักษาเหมือนที่หมอโตโต้ เขียนครับ
แค่ ABO, steriod, ไม่ต้องเซรุ่ม
และสังเกตอาการต่อ 3-5 วัน
ขอบพระคุณคุณหมอทุกท่านมากนะคะ..ประทับใจจังเลยค่ะ..ที่คุณหมอให้ความสนใจเคสน้องหมาของญ.ด้วย..เป็นกำลังใจให้คุณหมอทุกท่านนะคะ..ดีใจที่ได้มีโอกาสอ่านข้อมูลความรู้อันเป็นประโยชน์นี้ซึ่งเป็นประโยชน์มากๆหากเกิดเหตุการณ์เช่นนี้กับสัตว์เลี้ยงจะได้รู้ถึงแนวทางการรักษาเบื้องต้น ขอขอบพระคุณคุณหมอทุกท่านอีกครั้งนะคะ^-^
YingeXtreme
เรื่องของการใช้สเตียรอยด์ ตอนนี้ที่ updated ล่าสุดคือมีการทดลองการให้สเตียรอยด์กับผู้ป่วย (คน) ที่โดนงูเขียวหางไหม้กัด ผลปรากฏว่ามันไม่ได้ช่วยลดบวมอย่างมีนัยสำคัญ เพราะอาการบวมที่เกิดขึ้นเป็นผลจากการเปลี่ยนแปลง permiability ของหลอดเลือด ไม่ได้เกิดจากการอักเสบครับ ผลการทดลองที่ออกมาช่วงท้ายจะสนับสนุนการใช้เซรุ่มเพื่อป้องกันอาการบวมมากกว่าครับ
การใช้ผ้าพันเหนือแผลจะส่งผลอย่างไรต่อบริเวณที่ถูกงูกัดครับ เท่าที่ทราบ การหมุนเวียนโลหิตน่าจะมีปัญหาใช่หรือไม่ครับ
concept ที่ว่าจะช่วยลดการที่พิษงูจะเข้าสู่หัวใจนั้นถูกต้องหรือไม่
อย่างนี้ เราจะมีวิธีจัดการเบื้องต้นก่อนส่งมือหมออย่างไรบ้างครับ
พอดีมีตกหล่นเรื่องอาการบวมที่ลดลงน่ะค่ะ กว่าจะลดลงจนเป็นปกติเบ็ดเสร็จ 5 วันค่ะคุณหมอ..เหะๆๆ ผ่านไป 1 วันลดบวมลงเล็กน้อยค่ะ..แต่รอยกัดมีเลือดซึมออกมาตลอดเวลาจนต้องใช้ผ้าก๊อสพันเอาไว้อ่ะค่ะ^-^
การใช้ผ้าพันเหนือแผลเป็นวิธีที่เคยได้รับความนิยมใช้กันมาตั้งแต่อดีต แต่ในปัจจุบันได้มีการศึกษาถึงวิธีการปฐมพยาบาลต่างๆ ซึ่งพบว่าการขันชะเนาะอาจส่งผลเสียได้เนื่องจากบริเวณที่ต่ำกว่าจุดที่ขันอาจเกิดการขาดเลือดทำให้เนื้อเยื่อตายและอาจจะต้องตัดทิ้งทั้งหมด นอกจากนั้นก็ยังพบว่าปริมาณพิษของบริเวณที่ต่ำและเหนือกว่าบริเวณที่ขันชะเนาะไว้มีปริมาณพิษใกล้เคียงกัน ซึ่งแสดงว่าการขันชะเนาะไม่ได้ช่วยชะลอการดูดซึมของพิษด้วยครับ
ส่วนวิธีการปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ได้ผลดีที่สุดในปัจจุบันคือการพันประคับประคองบาดแผล หรือที่เรียกว่า pressure immobilization ครับ โดยวิธีการก็คือการใช้ผ้า elastic bandage หรือผ้าแถบยาว มาพันอวัยวะส่วนที่ถูกกัด โดยใช้หลักการเช่นเดียวกับการพัน soft bandage ทั่วไป จากนั้นทำ splint ดาม ใช้อะไรก็ได้ที่แข็งๆ ดามครับ แล้วพันยึดเอาไว้ จากนั้นก็รีบไปโรงพยาบาลครับ
เคยพบบางเคส มีซากงูเห่าโดนสุนัขกัดตาย แต่สุนัขไม่มีบาดแผลเลย ปรากฏว่าหลังจากนั้นประมาณ2ชั่วโมง สุนัขล้มนอน เริ่มหายขัด มาตรวจก็พบว่า ลิ้นบวม ปรากฏว่าโดนกัดที่ลิ้น ดังนั้น ถ้ามีซากงู ถ้าไม่มีบาดแผลตามตัวสัตว์ ก็ยังต้องเฝ้าระวังเพราะที่จริงอาจจะโดนกัดในช่องปากด้วยก็ได้ ส่วนเจ้าตัวที่ว่า หลังให้เซรุ่มก็ปรากฏว่าหายใจไม่ได้ เพราะว่าพิษมันออกฤทธิ์ไปแล้ว ต้องช่วยหายใจไปประมาณ 1 วัน จึงrecoverครับ
มีข้อสงสัยครับ ถ้าช้างโดนกัดที่งวงหรือที่ขา
อาจตายหรือไม่ตายขึ้นกับปริมาณของพิษและขนาดของงู ทีนี้ถ้าต้องรักษาโดยมีหลักการคือการให้เซรุ่ม drip IV ไปเรื่อยๆ เพิ่มทีละขวด ทีละขวดจนกว่าอาการจะดีขึ้นใช่ไหมครับ
1. คณะสัตวแพทย์ทั้ง 6 สถาบันจะมีเซรุ่มเหล่านี้สต๊อกเอาไว้หรือไม่
2. ในกรณีเร่งด่วน สัตวแพทย์ที่อยู่ต่างจังหวัดจะหาเซรุ่มได้จากที่ใด ขอซื้อจากโรงพยาบาลในจังหวัดได้หรือไม่
ขอบคุณสำหรับ comment ต่างๆ ครับ ในประเด็นที่คุณเพ้ง comment มา เป็นเรื่องที่น่าสนใจมากๆ ครับ ผมขออนุญาตเพิ่มเติมรายละเอียดซักนิดนึง ก็คือการที่สัตว์มีการเผชิญหน้ากับงูและไม่พบบาดแผลแต่มีความเป็นไปได้หรือว่ามีความเสี่ยงที่สัตว์อาจจะถูกงูกัดมา หรือไม่มั่นใจว่างูที่กัดเป็นงูมีพิษหรือไม่นั่น มีความจำเป็นที่จะต้องทำการ admit หรือเฝ้าติดตามอาการของสัตว์อย่างใกล้ชิดเป็นเวลาอย่างน้อย 24 ชั่วโมง ถ้าพ้น 24 ชั่วโมงแล้ว ไม่มีอาการใดๆ จึงจะสามารถปล่อยให้กลับบ้านได้ครับ หรือในอีกกรณีหนึ่งก็คือ ถ้างูที่กัดเป็นกลุ่มที่มีพิษต่อระบบโลหิต ควรจะนัดสัตว์กลับมาทำการตรวจเลือดซ้ำเป็นเวลาติดต่อกันอย่างน้อย 3 วัน เนื่องจากพิษที่มีผลต่อระบบโลหิตมีขนาดโมเลกุลใหญ่กว่าพิษทางระบบประสาท จึงมีการดูดซึมช้า และต้องตามอาการของสัตว์เป็นเวลานานกว่าครับ
ส่วนในประเด็นของการรักษาช้างที่ถูกงูกัดนั้น ในความเป็นจริงเลยคือยังไม่ทราบรายละเอียดแน่ชัด ผมขอพูดถึงหลักการการใช้เซรุ่มโดยรวมนะครับ เซรุ่มแก้พิษงู คือ hyperimmmunse serum ของม้า (หรือแกะในบางประเทศ)ซึ่งการใช้เซรุ่มจะเป็นหลักการที่ hyperimmuneserum นี้เข้าไปจับกับพิษที่เป็น free form ในกระแสเลือด ในลักษณะ antigen - antibody complex นั่นเองครับ เพราะฉะนั้นการรักษาโดยใช้เซรุ่ม จึงต้องมีการให้ในปริมาณที่เพียงพอที่จะเข้าไปจับกับพิษในกระแสเลือดนั่นเอง แต่ในความเป็นจริงนั้น การที่งูกัดแต่ละครั้งจะมีการปล่อยพิษในปริมาณที่ไม่เท่ากัน เพราะการปล่อยพิษอยู่ภายใต้อำนาจจิตใจ (voluntary control) จึงไม่สามารถทราบถึงปริมาณพิษที่อยู่ในกระแสเลือดได้ การใช้เซรุ่มจึงไม่มีจำนวน dose ที่แน่นอน ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์แต่ละชนิดมีความต้านทานต่อพิษงูที่ไม่เท่ากัน หรือ natural resistance ไม่เท่ากันนั่นเอง ยิ่งทำให้การใช้เซรุ่มในสัตว์ชนิดต่างๆ มีความแตกต่างกันออกไปอีก ยกตัวอย่างเช่น การโดนงูเห่ากัดในมนุษย์จะแนะนำให้เริ่มใช้เซรุ่ม 5-10 vial ในครั้งแรก แต่ในสุนัขให้ใช้เพียง 1-2 vial เท่านั้นครับ
ประเด็นถัดมาก็คือ จากการที่เราไม่สามารถรู้ถึงปริมาณ free form ของพิษในกระแสเลือดได้นั้น จึงทำให้มีความเป็นไปได้ว่า แม้จะให้เซรุ่มแล้ว สัตว์ก็จะยังคงแสดงอาการต่อไป และอาจรุนแรงจนถึงอัมพาตและหยุดหายใจได้ จึงต้องเตรียมพร้อมสำหรับการทำ symptomatic treatment เสมอ และการให้เซรุ่มไม่สามารถแก้ไขอาการอัมพาตที่เกิดขึ้นแล้วได้ เนื่องจากเซรุ่มจะไม่สามารถเข้าไป neutralized พิษที่จับเข้ากับ receptor แล้ว แต่เซรุ่มจะช่วยเข้าไปจับกับ free form ที่หลงเหลืออยู่ ทำให้สามารถ recovery ได้เร็วขึ้น ส่วนพิษที่จับกับ receptor ไปแล้วนั้น จะหลุดออกมาเองในระยะเวลาหนึ่ง แต่ก็มีในบางกรณีที่การให้เซรุ่มนั้นมากพอที่จะจับกับพิษจนหมดจนสัตว์ไม่แสดงอาการต่อไป
โดยสรุปการใช้เซรุ่มแก้พิษงู จึงยังไม่มีหลักการที่ตายตัว ทั้งในทางการแพทย์ และสัตวแพทย์ จึงต้องมีการใช่ควบคู่กับการทำ symptomatic treatment เสมอ และสัตว์จำเป็นต้องได้รับการดูแลอย่างใกล้ชิด จนกว่าจะหายเป็นปกตินั่นเอง
ลืมตอบคำถามของหมอกานต์ไปครับ
เรื่องที่คณะสัตวแพทย์ทั้ง 6 สถาบันจะมีเซรุ่มมั้ย อันนี้ผมไม่ทราบแน่ชัด ขึ้นกับทางคณะได้มีการสั่งซื้อไปไว้หรือเปล่าครับ ที่รู้แน่ๆ คือ จุฬามีครับ แต่สามารถติดต่อขอซื้อได้ที่สถานเสาวภาโดยตรง
ส่วนกรณีเร่งด่วนในต่างจังหวัด เท่าที่ทราบตอนนี้คือ จะมีเฉพาะโรงพยาบาลใหญ่ในแต่ละจังหวัดเท่านั้น และไม่มั่นใจว่าจะขอซื้อจากโรงพยาบาลคนได้หรือไม่ครับ อาจจะต้องใช้ symptomatic treatment ในเบื้องต้นไปก่อนครับ
รบกวนถามเพิ่มเติมครับ
-การให้เซรุ่มทาง IV โดยให้แบบ drip กับแบบ bolus ส่งผลแตกต่างกันรึเปล่าครับ
-ในเรื่องของ tetanus เป็นเรื่องที่ควรคำนึงถึงหรือไม่
-การจัดการบริเวณบาดแผลที่ถูกงูกัดควรจัดการอย่างไรบ้างครับ การกรีดเปิดปากแผลแล้วบีบเลือดออก ประกอบกับการหยดเซรุ่มลงไปช่วยได้บ้างมั้ยครับ
- การให้เซรุ่มทาง IV แบบ drip กับทาง Bolus นั้นในทางการแพทย์จะไม่ให้แบบ bolus เลยครับ เนื่องจากว่ามีความเสี่ยงในการเกิดการแพ้เซรุ่มได้ โดยเฉพาะ anaphylactic shock เป็นภาวะที่ต้องระวังที่สุดครับ ส่วนในทางสัตวแพทย์นั้นได้ข้อมูลมาว่าการเกิดการแพ้เซรุ่มนั้นมีน้อยกว่าในคนมาก จึงพอจะสามารถให้แบบ bolus ได้ แต่ทั้งนี้ก็ยังมีรายงานการแพ้เซรุ่มได้เช่นเดียวกัน ถ้าให้แบบ bolus ก็ควรให้อย่างช้าๆ และต้องคอยสังเกตและเตรียมพร้อมแก้ไข้การแพ้เซรุ่มด้วยนั่นเองครับ
- ส่วนในเรื่องของ tetanus นั้น ควรจะมีการพึงระวังอยู่เสมอโดยเฉพาะสัตว์ที่มีความไวต่อเชื้อนี้ เนื่องจากรอยเขี้ยวงูส่วนใหญ่มีขนาดเล็กและมีแบคทีเรียอยู่เป็นจำนวนมากทำให้มีอัตราเสี่ยงต่อการเกิด tetanus ได้ ในการแพทย์จะแนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันบาดทะยักภายหลังการถูกงูพิษกัดทุกครั้งครับ
- การจัดการบริเวณบาดแผลที่ถูกงูพิษกัดนั้น ได้มีวิธีการต่างๆ มากมาย ซึ่งแต่ละวิธีได้มีการศึกษาออกมา ในปัจจุบันพบว่าการทำแผลงูพิษกัดในเบื้องต้น ไม่ควรทำการบีบ กรีด หรือเจาะบาดแผล เนื่องจากอาจส่งผลให้เกิดความเสียหายต่อเนื้อเยื่อมากขึ้นได้ อีกทั้งไม่ได้ช่วยลดอัตราการเกิดเนื้อตายหรือลดการดูดซึมของพิษแต่อย่างใด การทำแผล จึงเป็นการทำแผลเบื้องต้น เช่น การเช็ดแผลด้วยเบตาดีน หรือน้ำเกลือล้างแผล เช่นเดียวกับแผลปกติทั่วไป และหากมีการเกิดเนื้อตายขึ้นอาจมีการพิจารณาทำแผลทางศัลยกรรม เช่น debridement ขึ้นกับความรุนแรงของเนื้อเยื่อที่เสียหายครับ และการให้เซรุ่มบริเวณบาดแผล เช่น การ infiltrate รอบๆ แผล ไม่ช่วยลดการดูดซึมหรือลดการเสียหายของเนื้อเยื่อ การเจาะบริเวณบาดแผลกลับทำให้มีการเสียหายมากขึ้น ผลการศึกษาล่าสุดแนะนำให้ทำการให้เซรุ่มเข้า IV จะช่วยลดอาการบริเวณบาดแผลได้ด้วยครับ
คิดว่าโรงพยาบาลสัตว์ของมหาวิทยาลัยน่าจะมีเซรุ่มทุกที่นะค่ะ
บ้านเรามี เซรุ่มแก้พิษงู ทั้งหมดกี่ชนิดคะ อะไรบ้าง
และโดยส่วนมาก คนจะไม่รู้จักชนิดงู เมื่อต้องให้เซรุ่ม หมอแนะนำว่าควรพิจารณาจากอะไรบ้าง นอกจากดูจากอาการสัตว์
อยากให้บทความดีๆอย่างนี้ เผยแพร่ให้หมอสัตว์บ้านด้วย รวมทั้งคำถามคำตอบ มีประโยชน์มากๆค่ะ
ประเทศไทยมีเซรุ่มแก้พิษงูทั้งหมด 7 ชนิดครับ คือ งูเห่า งูจงอาง งูสามเหลี่ยม งูทับสมิงคลา งูแมวเซา งูกะปะ และงูเขียวหางไหม้ครับ โดยปกติถ้าไม่เห็นตัวงู เราจะใช้การดูอาการที่แสดงออกเป็นหลักครับ นอกจากนั้น สามารถพิจารณาร่วมกับลักษณะงูที่เจ้าของเห็น และการกระจายตัวของงูในพิ้นที่ครับ ว่าในบริเวณนั้นพบงูอะไรบ่อย ส่วนใหญ่การถูกงูกัดในแต่ละพื้นที่มักจะเป็นงูชนิดที่เหมือนกันครับ ซึ่งข้อมูลทั้งหมดต้องเอามาพิจารณาร่วมกันถึงจะได้ข้อมูลที่น่าเชื่อถือที่สุดครับ
อยากทราบว่าช้างที่อยู่ในป่าฝนสิงโต ม้าลาย ควายป่า มันถูกงูกัดบ้างป่ะคะ แล้วมันจะตายไหมอยากรู้จริงๆๆตอบด้วย ค่ะขอคุณค่ะ
makecrazy@hotmail.com
www.accederechnology.com
www.pruksapun.com
Post a Comment