ข้อควรระวัง และการเปรียบเทียบวิธีต่างๆ ของการซ่อมกระดองเต่า
เต่า อยู่ใน Order Chelonians ทีประกอบด้วย Turtles และ Tortoises โดย กระดองเต่า ทำหน้าที่เป็นป้อมปราการป้องกันอวัยวะภายในหรือ Vital organs ของเต่าทั้งหมด ซึ่งจะมีลักษณะเป็นแผ่นเชื่อมต่อกัน ที่มีความเข็งแรงคงทน ที่เรียกว่า Hard dermal plates ซึ่งเป็นเซลล์ที่มีองค์ประกอบของโปรตีนเป็นหลัก เช่น Histidine, Proline เป็นต้น โดยเซลล์เหล่านี้จะถูกเรียกว่า Alpha หรือ Beta-Keratin cell (Basal cells) โดยเซลล์มีความสามารถในการเพิ่มจำนวน และปล่อยสารประกอบแคลเซียมขึ้นมาด้านบนออกนอกของเซลล์ (Matrix) ทำให้เกิดการสะสมและอัดแน่นเป็นชั้นที่หนาและแข็งแรง (Corneim layer) ส่วนชั้นนอกสุดจะถูกปกคลุมด้วยชั้น Keratin ซึ่งลักษณะของกระดองอาจมีความหลากหลายในแต่ละชนิด หรือ Species ของเต่า
Dermal plates จะมีทั้งหมด 60 ชิ้น ที่พัฒนามาจาก Pectoral bones, Pelvic limb bones, Vertebraes, Costal bones และ sacral bones โดย Carapace จะรวมกับ Verrtebral column แล้วเรียงตัวยาวไปทางล่างของด้าน Pectoral และ Pelvic girdles ซึ่งจะเชื่อมกับ Plastron และเต่ามีเยื่อชั้นผิวหนังด้านใน คือ Pleurocoelum หรือ Coelomic membrane ซึ่งต่อกับชั้นผิวภายในกระดอง อีกทั้งเต่าไม่มีกะบังลม ทำให้อวัยวะภายในคงสภาพโดยกระดอง ส่วนโครงสร้างระบบหลอดเลือดที่กระดองเต่า นั้น ยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัดว่าเป็นอย่างไร แต่อย่างไรก็ตามสามารถเกิดการสมาน หรือหายของแผลที่กระดอง
สาเหตุ ที่ทำให้เกิดความเสียหายที่กระดองเต่า แบ่งเป็น 3 ข้อ ที่พบได้บ่อย คือ
1. การถูกของหนักทับ เช่น รถ หรือยานพาหนะต่างๆ ขณะที่เต่ากำลังข้ามถนนอยู่, สิ่งของหล่นทับ เป็นต้น
2. การจู่โจมของสัตว์ชนิดอื่นๆ เช่น ผู้ล่าโดยใช้ฟันหรือเขี้ยวกัดกระดอง – สุนัขจิ้งจอก หรือผู้ล่าที่จะคาบ แล้วปล่อยเต่าลงมาจากที่สูง เพื่อให้กระทบกับของแข็ง – นก นาก เป็นต้น
3. การปีนป่ายของตนเอง ที่อาจพลาดท่าตกลงมากระทบของแข็งๆได้
Physical Examination
1. แก้ไข Emergency ก่อน เช่นเลือดออกไม่หลุดไหล ควรห้ามเลือดก่อน
2. ดู Vital signs ทั่วไปว่าอยู่ในสภาพปกติหรือไม่
3. ตรวจดูความเสียหายของกระดองเต่า ว่า เกิดมาจากสาเหตุใด รุนแรงมากน้อยแค่ไหน เป็นมานานเท่าไหร่ เคยได้รับการรักษามาอย่างไรแล้วบ้าง
4. ประเมินว่าเต่าควรได้รับการซ่อมแซมกระดองเต่าหรือไม่ โดยใช้ข้อบ่งชี้ ดังนี้
กระดองแตกทะลุผ่าน Pleurocoelum หรือ Coelum หรือไม่ ถ้าไม่ทะลุพิจารณาข้อต่อไป
ระบบการทำงานทางประสาทของเต่าเป็นอย่างไร ถ้าการตอบสนองสมบูรณ์เป็นปกติ จะพิจารณารับการรักษาได้ เนื่องจากตำแหน่ง Carapace ของเต่าเชื่อมต่อกับกระดูกสันหลังที่มี Spinal cord ภายใน เมื่อมีการบาดเจ็บที่กระดอง อาจทำให้ระบบประสาทสูญเสียไป ซึ่งพบว่าเต่าจะหายจากการบาดเจ็บที่ระบบประสาทกลับมาได้ยาก จึงทำให้เมื่อมีความผิดปกติที่ระบบนี้ ควรพิจารณา Euthanasia จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด (Kaplan M, 1995) โดยดูจาก
a. การเดิน พบ Paralysis หรือ Pararesis หรือไม่
b. Pain reflex – การหยิกที่ปลายเท้าของเต่าอย่างแรง ดูการตอบสนองต่อการชักกลับ
c. การว่ายน้ำ เพื่อดูการเคลื่อนไหวของขาทั้ง 4 ข้าง ควรระวังไม่ให้เต่าจมน้ำ หรือน้ำเข้าบาดแผลอย่างมาก (อาจไม่ใช้วิธีนี้ในการประเมินก็ได้)
เมื่อเต่าพร้อมได้รับการซ่อมแซม ควรดูสภาพ Body condition score และ Hydration status ก่อนเพื่อแก้ไขให้เหมาะสม คือการให้สารน้ำผ่าน Intravenus, Intracoelum, Subcutaneus route และให้อาหารผ่าน Esophagostomy feeding tube
5. ถ่ายภาพรังสี ทั้ง 3 ท่า คือ Dorsoventral, Craniocaudal, Lateral views เพื่อประเมินดูการแตกของกระดอง ว่าแตกอย่างไร เพื่อวางแผน และเลือกวิธีที่เหมาะสมที่สุด ทั้งนี้การถ่ายภาพรังสี จะช่วยดูว่าอวัยวะภายในได้รับการกระทบกระเทือนหรือไม่ อีกทั้งยังเป็นการตรวจดูด้วยว่าเต่ามีการติดพยาธิหรือไม่ได้อีกด้วย
C
รูปแบบการแตกของกระดองเต่า
Linear crack
กระดองเกิดลักษณะร้าวแตกเสียหาย เห็นเป็นเส้น ซึ่งอาจพบตำแหน่งเดียวหรือหลายตำแหน่ง ซึ่งจะใช้เวลาในการสมานของกระดองไม่นานเป็นเดือนหรือปีเท่านั้น
Excavated holes
กระดองเกิดการแตกเป็นชิ้นส่วนเล็กๆ จำนวนมาก (ขนาดน้อยกว่า 3 cm.) ซึ่งไม่สามารถนำมาประกบต่อเชื่อมกันได้ จะพบลักษณะเป็นหลุมลงไปใต้กระดอง และใช้เวลาสมานตัวค่อนข้างนานมากกว่า 1-2 ปี
Bridge fractured
กระดองเกิดการแตกเป็นชิ้นส่วนขนาดใหญ่ แตกเป็นชิ้น ขนาดมากกว่า 3 cm. ซึ่งพบว่าเป็นการแตกที่จัดการได้ยากที่สุด เนื่องจากกระดองเต่าจะมีการเคลื่อนไหวตลอดเวลา เมื่อเต่าเคลื่อนที่ จึงทำให้เชื่อมติดกันต้องใช้เวลานานหลายปี
เทคนิคการซ่อมกระดองเต่า
จุดมุ่งหมาย เพื่อรู้พื้นฐานการซ่อมกระดองเต่าและวิธีการคงสภาพ โดยวิธีการคงสภาพการแตกหักที่เป็นชิ้นส่วนยุ่งยาก ที่ไม่สามารถยึดด้วยวิธีง่ายๆ เช่น วิธีทางการเชื่อมกระดูก (Orthopaedic fixation) คือ Metal pin, plates, wires, screws หรือการใช้ Cement ของอุปกรณ์เกี่ยวกับกระดูก หรือฟัน ซึ่งวิธีเหล่านี้ต้องทำภายใต้การวางยาสลบเท่านั้น
การซ่อมกระดองแบ่งเป็น 2 ส่วนกว้างๆ คืออันดับแรกการดูแลแผล และสองคือการคงสภาพการแตก แต่บางครั้งอาจสามารถดูแลแผลอย่างเดียวในกรณีที่ เศษกระดองแตกบางชิ้นส่วนเสียสภาพไปแล้ว
1. การดูแลแผล (Wound management care) เต่ามีความสามารถในการซ่อมแซมการบาดเจ็บของกระดอง ส่วนมาก แผลขนาดใหญ่ มักดูแลแผลยุ่งยาก ซึ่งอาจทำให้เกิดการบกพร่องได้ จำเป็นที่จะต้องเตรียมความพร้อมให้ดี ในกรณีการรักษาแบบแผลเปิด ควรใช้ยาปฏิชีวนะนานอย่างน้อย 2 สัปดาห์
a. การทำความสะอาด (Cleaning) ชะล้าง (Flushing) และการปิดแผล (Dressing)
i. Cleaning เป็นขั้นแรกที่สำคัญ จะต้องชะล้างมากๆ เพื่อทำความสะอาดและลดการปนเปื้อนบริเวณแผลที่กระดอง (David V., 2006) โดยเฉพาะเต่าที่มีเซลล์ตายจำนวนมาก สกปรก และอื่นๆ โดยใช้การขัดถู (Scrub) ด้วยแปรงที่นุ่มนวล เช่น Scrub surgery brush หรือแปรงสีฟัน ผ้าที่เบาบาง หรือฟองน้ำ ก็ได้ ร่วมกับสารน้ำสะอาด เช่นสารละลาย Lactate Ringer solution (Darryl J, et al., 1999.) เพื่อสารอิเล็กโทรไลด์จะช่วยนำเศษเซลล์ออกได้ทางหนึ่ง กรณีที่เป็นเต่าตามธรรมชาติ อาจไม่จำเป็นต้องทำความสะอาดทุกส่วนบนกระดอง แม้ว่าการนำสิ่งสกปรก และโคลนจะช่วยป้องกันแผลจากการปนเปื้อน เนื่องจากอาจเป็นที่อยู่ของสาหร่ายที่มักใช้เป็นที่อำพรางตัวของเต่า (Barten SL., 2006) แต่บริเวณกระดองที่แตก ต้องทำความสะอาดทั้งหมด
ii. Flushing ช่วงแรกของการรักษาควรชะล้าง 2-3 ครั้งต่อวัน ทั้งนี้อาจขึ้นกับสภาพการปนเปื้อนบริเวณแผลด้วย สารที่ใช้ชะล้างที่มีประสิทธิภาพในการต่อต้านจุลชีพดี และไม่ทำลายเนื้อเยื่อ เช่น 0.05% Chlrohexidine (Watt P, et al.,2005), o.1% Povidone Iodine, 1:40 Nolvasan (Vella D, 2006) เป็นต้น แต่มีการศึกษาพบว่า การใช้สารละลาย Povidone ทำให้เกิด Sequestum ซึ่งมีผลทำให้เพิ่มขนาดและความรุนแรงของแผลที่กระดองเต่ามากขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ แต่ ส่วน Iodine ที่เป็นสารประกอบพวก Hydroscopic จะสนับสนุนการหลั่งสารต่อต้านจุลชีพ หรือ Non-cytotoxic ที่บริเวณแผลเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีผลทำให้ Regeneration ของกระดูกมากขึ้น แต่อาจใช้เวลานานกว่าสารอื่นๆ (Macro, 2006)
iii. Dressing มักจะใช้ในช่วงแรกของการดูแลแผล และควรเปลี่ยนทุกๆ 24 ชั่วโมง ซึ่งมักจะทำร่วมกับการทำความสะอาดและการชะล้าง เพื่อคงสภาพจนกว่าชิ้นส่วนกระดองเต่าจะสมานกันดี แต่ก่อนปิดแผลต้องเช็ด หรือรอให้แห้งสนิทก่อนปิดแผลทุกครั้ง ซึ่งแผ่นปิดแผลนี้มีหลากหลายชนิดและรูปแบบ บางชนิดมีประกอบด้วยสารที่มีความสามารถในการต่อต้านจุลชีพได้ด้วย ซึ่งถ้าใช้อย่างเหมาะสมสามารถใช้ได้นานหลายวัน เช่น Acticoat ซึ่งเป็นแผ่นตาข่ายเคลือบเงิน (Norton TM, et al., 2005) หรืออาจใช้แผ่นปิดแผลร่วมกับ Silvazine cream ที่ให้ผลใกล้เคียงกัน (Johnson J, et al.,2002) ปัจจุบันมีการค้นหาสารตัวใหม่ๆ เพื่อกระตุ้นการทำลายของเนื้อตาย และหนองในแผลได้ เช่น Intrasite gel หรือ Manuka honey (Mathews HA, et al., 2002) จากการศึกษาพบว่าน้ำผึ้งนี้มีฤทธิ์ในการทำลายจุลชีพ โดยสร้างสภาวะที่เป็นกรด เพื่อยับยั้งการเจริญเติบโตของจุลชีพ และแรงดัน Osmolarity สูง ทำให้จุลชีพ เสียสมดุลของเหลวในเซลล์ อาจเซลล์เหี่ยวตายได้ นอกจากนี้ น้ำผึ้งยังลดการบวมน้ำที่แผลและลดเวลาในการเกิด Granulation ให้เร็วขึ้นด้วย (Elke R, et al., 2005) ส่วน Iodosorb ointment เป็นสารประกอบที่เหมาะสมในกรณีที่มีการปนเปื้อนที่กระดองมาก และมีความสามารถในการกันน้ำได้บางส่วน แต่การใช้ ointment นี้มีการศึกษาว่าจะเกิด Cicatrization (แผลเป็น) รวดเร็ว แต่มี Regeneration ของกระดูก (Macro, 2006)
ภาพที่ 7 แสดงวิธีการ wet-dry (ภาพทางซ้าย) และการใช้ dressing (ภาพทางขวา)
การแตกของชิ้นส่วนแบบเป็นชิ้นส่วน (Bridge) ซึ่งใช้แผ่นปิดแผลยึดติดได้เช่นกัน โดยต้องมีลักษณะโปร่งใส สะอาดปราศจากเชื้อ อากาศผ่านได้ และกันน้ำ เช่น Opsite Flexigrid, Opsite Incise, Bioclusive transparent dressing, Tegaderm เป็นต้น โดยผลิตภัณฑ์เหล่านี้มีคุณสมบัติในการคงสภาพดีกว่าแผ่นปิดแผลทั่วไป เนื่องจากสามารถกันน้ำเข้าบาดแผลได้ ซึ่งสามารถติดเมื่อให้เต่าลงว่ายน้ำได้บางครั้งแต่ไม่นานจนเกินไป
การแตกเพียงเล็กน้อย โดยกระดองสามารถคงสภาพได้เอง อาจจะใช้การทำความสะอาดและชะล้างเท่านั้น
b. การนำเศษเซลล์ตายออก (Debrisling) ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการรักษาและซ่อมแซมกระดองแตก ซึ่งการติดเชื้อ การมีเซลล์ตาย หรือการปนเปื้อนต่างๆที่เนื้อเยื่อ จะเกิดอย่างช้าๆ และขัดขวางการหายของแผลได้ ซึ่งวิธีนี้ควรทำภายใต้การวางยาสลบ เนื่องจากเต่าจะเจ็บมากและอาจต่อต้านการรักษาได้ โดยจะทำความสะอาดเบาๆ โดยแปรงขัดนุ่มๆ แต่ควรพิจารณาเสมอว่าจะมีเซลล์เนื้อเยื่ออ่อนที่สามารถหลุดได้เช่นกัน บางครั้งเศษเนื้อตายนั้นแข็งมาก อาจใช้ Hypodermic needle, ใบมีดผ่าตัด, Rongeurs หรือที่กรอฟันความแรงสูง ซึ่งขอบเขตการทำในวิธีนี้คือ จะเกิดการเลือดออกเป็นจำนวนมากถึงเพียงพอ
i. ถ้าตำแหน่งแตกใกล้ เนื้อเยื่อใต้กระดอง (Pleurocoelum) มาก มีลักษณะเป็นหลุมทะลุเข้าภายใน ซึ่งวิธีนี้ ช่วยลดการเป็นช่องว่างเนื้อตาย ที่มักจะทำให้แผลหายช้า เพื่อให้แผลสมานกันดีขึ้น
ii. พึงพิจารณาเสมอว่าการ Debrisling ออกมากเท่าใด จะทำให้พื้นผิวแผลและ Pleurocoelum สมานกันดีมากเท่านั้น เพราะกระตุ้นการเกิด Granulation, Epithelizaiton และการสร้างกระดูกใหม่ แต่อาจใช้เวลาในการสร้างกระดูก หรือกระดองเป็นเวลาหลายปีแตกต่างกัน ทั้งนี้การทำงานของกระดองเต่าที่ปกติ ไม่จำเป็นต้องเป็นกระดองใหม่ที่แข็งแล้ว
c. การจัดเรียงกระดองให้อยู่ในแนวเดิม (Realignment) ตำแหน่งที่มีการแตกที่เหลื่อมล้ำกัน ควรจัดเรียงให้กระดองกลับมาอยู่แนวเดิม ทำภายใต้การวางยาสลบ เพราะเต่าจะรู้สึกเจ็บมาก และอาจต่อต้านการทำงาน ซึ่งบางรายทำได้ยาก อาจใช้ร่วมกับตะขอ เช่น Hypodermic hook, ตะขอของทันตแพทย์ (Hulst F, 1997) แต่บางกรณีที่ไม่สามารถจัดเรียงได้ ให้ตัดขอบที่เกยกันออกจะดีกว่า (Barten SL. 2006) โดย ถ้าพบว่าเศษชิ้นแตกของกระดอง น้อยกว่า 3 cm. ควรนำชิ้นนั้นออก เนื่องจากเป็นตำแหน่งที่ไม่มีหลอดเลือด มีผลให้กระดองไม่สมานตัวกัน แต่ถ้ามีขนาดใหญ่มากกว่า 3 cm. ก็ควรเก็บรักษาชิ้นส่วนกระดองไว้ (Kaplan M, 1995)
d. Vacuum-assisted closure: VAC เป็นวิธีที่ช่วยในการทำความสะอาดแผลให้มีประสิทธิภาพเพิ่มขึ้น เดิมเริ่มใช้ในคนก่อนแล้ว พัฒนามาใช้ในสัตว์เล็กและเต่า (Lafortune M, et al.,2003) พบว่าการใช้ VAC ที่เป็นหัวฟองน้ำโดยมีแรงดันดูดออก 10-12 cm Hg ต่อกับบริเวณบาดแผลการแตกของกระดอง เชื่อมผ่านสายยางไปยัง Bandage แล้วใช้เทปพันรอยต่อจนมิดชิด นาน 1-4 สัปดาห์หรือนานกว่านั้น ทำให้นำเศษเซลล์ตายออกได้มากและแผลเกิด Granulation รวดเร็วขึ้น (Coke RL,et al., 2005) และในกระดองเต่าที่มีหนอง (Abscess) และการอักเสบของกระดูก (Osteomyelitis) ส่วนมากจะเป็นเชื้อ Staphylococcus aureus, Klebsiella pneumoniae, Fungus พบว่าหลังใช้ VAC จะสังเกตพบกระบวนการสมานแผลเริ่มที่ 55 วันหลังรักษา Epidermal tissue เริ่มมีการสร้าง Keratinization และจะพบ Pigment ที่เป็นปกติได้เมื่อมากกว่า 67 วัน แสดงให้เห็นว่ามีผลทำให้แผลสมานตัวได้รวดเร็วมากขึ้น แผลสวยงาม และควบคุมการติดเชื้อหรือปนเปื้อนได้มาก ในขณะที่ราคาไม่แพงจนเกินไป (Michael J., et al., 2007)
2. ขั้นตอนการคงสภาพกระดอง (Stabilization)
a. การใช้เทปยึดติด (Adhesive tape)
มักใช้ในกรณีการแตกเพียงเล็กน้อย หรือกระดองเคลื่อนน้อย เช่น Tartan filament 8934 ที่เป็นเส้นใยที่ทนทานต่อแรงตึงสูง ในบางชนิดพัฒนาจนสามารถกันน้ำได้ และยึดติดดีขึ้น สามารถทำได้อย่างรวดเร็ว จึงเหมาะกับเวลาเร่งด่วน หรือการขนส่งไปรักษากระดองต่อไป หรือในระหว่างการวางยาสลบได้ มักใช้ในกระดองที่แตกตรงตำแหน่ง Carapace หรือจุดเริ่มต้นที่บริเวณ Carapace โดยสามารถประกบรูปร่างได้ตามต้องการ ราคาปานกลาง แต่เป็นวิธีที่ไม่แข็งแรงทนทาน แม้บางชนิดได้มีการพัฒนาให้สามารถกันน้ำได้ก็ตาม
ภาพที่ 7 แสดงวิธีการใช้เทป เหมาะสำหรับการปฐมพยายามเบื้องต้น เพื่อลดการเจ็บปวดของเต่า
b. การเชื่อมโดยอุปกรณ์คล้ายสะพาน (Bridging)
มักใช้ในการแตกเป็นชิ้นส่วน โดยการใช้แผ่นเชื่อมแต่ละชิ้นแตก (David V, 2006) ได้ดี ซึ่งสามารถคงสภาพกระดองระยะเวลาสั้นหรือยาวก็ได้ วัสดุที่นำมาใช้มีหลายอย่างเช่น พลาสติก เหล็ก เป็นต้น ซึ่งพลาสติกมีการออกแบบหลายอย่าง เช่นเป็นคล้ายอานม้ารูปตัว U (Saddle clamps, Command decorating clip) หรือเป็นสายรัดคล้ายเข็มขัด (Mount cable tieข้อดีในเรื่องสามารถโค้งดัดให้เข้ารูปกับตำแหน่งที่แตก) (Forrester H, Satta J. ,2005) เป็นต้น ซึ่งมีน้ำหนักเบา ทนทานปานกลาง และสามารถลดระยะห่างของการแตกได้ดี เทคนิคที่ทำได้ง่าย รวดเร็ว สามารถทำในเต่าที่มีสติได้ด้วย โดยวิธีเหล่านี้จะเหมาะกับตำแหน่งรอยแตกที่ติดเทปได้ยาก หรือบริเวณการแตกของกระดองที่มีการเคลื่อนไหวมากๆ หรือชิ้นส่วนแตกของกระดองหายไปเพียงเล็กน้อย แต่ไม่สามารถทำในกระดองเต่าที่มีชิ้นส่วนหายไปบริเวณใหญ่มากๆ หลังการติดเชื่อมกระดองจะสามารถมองเห็นแผล ทำให้ทราบการสมานของแผล และทำความสะอาดได้ง่าย เพื่อลดการติดเชื้อ เป็นต้น นอกจากนี้วิธีนี้สามารถใช้ร่วมกับวิธีอื่นๆ ในการคงสภาพกระดองได้ เช่น การใช้ลวดผ่าตัด แต่ต้องรักษาแบบแผลเปิดตลอดเวลา จึงควรระวังน้ำหรือความชื้น โดยหลังทำความสะอาดเสร็จ ควรรอจนแห้งสนิท เพื่อความมั่นใจ หรืออาจใช้วิธีอื่นๆเสริมในเรื่องกันน้ำจะดีมาก และควรระวังในการใช้กาวที่เชื่อมติดบนกระดอง (Richard J, et al.,2001) โดยห้ามกาวถูกบริเวณรอยแตก หรือบาดแผลเด็ดขาด และควรเลือกใช้กาวที่เหมาะสม คือมีความสามารถในการยึดติดที่รวดเร็ว และคงการยึดได้ดี
ภาพที่ 8 แสดงวิธีการใช้ Plastic saddle clamp เชื่อมการแตกของกระดองเต่า (ภาพทางซ้าย)
และผลการใช้ภายหลัง 11 สัปดาห์ (ภาพทางขวา)
c. การเชื่อมโดยอุปกรณ์ทางกระดูก (Orthopaedic fixation)
โดยใช้ Orthopaedic Screws, pins, plates, wires เป็นต้น วิธีนี้มีความสามารถในการยึดที่แข็งแรงและทนทานมากที่สุด เหมาะกับแผลการแตกของกระดองทุกรูปแบบ แม้ว่าจะมีการแตกขนาดใหญ่หรือรุนแรงมากก็ตาม และเหมาะกับการแตกที่ต้องการความแข็งแรงในการรองรับชิ้นส่วนมากๆ (Barten SL. 2006.) นอกจากนี้สามารถลดระยะห่างการแตกของกระดองได้เป็นอย่างดีเยี่ยม (Kaplan M, 1995) แต่เนื่องจากเป็นอุปกรณ์ที่ทำมาเป็นพิเศษจาก Stainless จึงหนักและมีราคาแพง อีกทั้งเทคนิคปฏิบัติต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับเครื่องมือ อาจติดเชื้อได้ง่ายทั้งขณะทำและหลังซ่อมกระดอง จึงต้องใช้ความระวังสูง และมีการทำลายกระดองบางส่วนเพื่อการยึดติดวัสดุเชื่อมต่อ เช่นการเจาะรู เพื่อใส่ screws, pins เป็นต้น และที่สำคัญต้องวางยาสลบ ซึ่งอาจเป็นอันตรายต่อเต่าได้ เนื่องจากการเชื่อมต่อโดยวิธีนี้อาจใช้เวลาทำนานพอสมควร บางกรณีสามารถใช้วิธี External coaptation โดยสร้างโครงเป็นตัวค้ำชิ้นส่วนการแตก เช่น Vet-lite, Ronlite SA เป็นต้น ในกรณีการแตกที่ซับซ้อนได้ (Kishimori J, et al.,2001)
ภาพที่ 9 แสดงวิธีการดมยาสลบเต่าแบบใช้ Gas ซึ่งเป็นวิธีที่สะดวก รวดเร็ว และปลอดภัยในการคุมระดับการสลบ
ภาพที่ 10 แสดงวิธีการใช้ Wires (ภาพทางซ้าย) ซึ่งสามารถลดระยะห่างการแตกของกระดอง จนสนิทชิดกัน
และการใช้ Wires ร่วมกับ Screws ซึ่งใช้ได้กับทุกลักษณะการแตก (ภาพทางขวา)
d. การใช้แผ่นปิดถาวร หรือกึ่งถาวร (Permanent or Semi-permanent dressing)
มักเป็นสารพวก Polymers เช่น Resin, Cement (Bone cement), Acrylic (Dental glass ionomer)(Fowler A, Magelakis N., 2004) เป็นต้น ร่วมกับ Epoxy (Knead It) (Reiss A., 1999) หรือ กาว โดยตามหลักแล้ววิธีนี้สามารถคงสภาพกระดองเต่าที่แตกได้ดี ปฏิบัติได้ทันที และสามารถกันน้ำได้ จึงทำให้ก่อนหน้านี้ นำมาใช้รักษากระดองแตกของเต่าทะเล โดยมักใช้ Fiber glass ร่วมกับ Epoxy (Frye FL., 1973) วิธีนี้ควรระมัดระวังไม่ให้ Epoxy อยู่ติดกับบริเวณบาดแผล ควรอยู่รอบนอกบนกระดอง เนื่องจาก จะมีผลต่อการสมานตัวของแผลได้ และควรทำมากกว่า 2 ชั้น เพื่อประสิทธิภาพในการกันน้ำและอากาศได้ดี (Kaplan M, 1995) ต่อมา มีการศึกษาพบว่าไม่ให้ผลดีการรักษากระดองที่ยาวนาน (Barten SL., 2006, Heard DJ, 1999) เนื่องจากไม่สามารถมองเห็นกระบวนการการหายของแผลได้ อาจทำให้เกิดเนื้อเยื่อที่ตายภายใต้กระดอง แผลจึงไม่สมานกัน หรือการติดเชื้อยังอาจคงค้างอยู่ ซึ่งจะพัฒนาเป็นแผลหลุมที่กระดอง ต่อไปได้ (Ulcerative pyoderma) นอกจากนี้บางครั้งสารที่นำมายึดติดกับกระดอง อาจเป็นพิษ เกิดการอักเสบเพิ่มมากขึ้น และส่งผลเกิดการสมานแผลที่ผิดรูปร่าง หรืออุณหภูมิที่ใช้ในการหลอมเหลว เพื่อยึดติดวัสดุ อาจทำให้เกิดการบาดเจ็บที่กระดองเพิ่มขึ้นจากเดิม เช่น เกิด Cellulitis, Osteomyelitis ตามมา แล้วส่งเสริมการติดเชื้อที่เพิ่มขึ้นอีก ดังนั้นก่อทำการติดแผ่นปิดนี้ ต้องมั่นใจว่ามีการทำความสะอาดและฆ่าเชื้อที่แผลในกระดองแล้วเป็นอย่างดี เช่น การให้ยาปฏิชีวนะที่เหมาะสม ทั้งแบบทั่วร่างกาย และเฉพาะที่ เช่น Calcium hydroxide paste( Reiss A, 1999, Wilson G, Burns P, 2000) เป็นต้น
แผ่นผิดแผลนี้ไม่สามารถทำให้เกิดการผลัดเปลี่ยน Scutes ได้อย่างปกติ จึงอาจทำให้ขอบรอยต่อ เกิดการจับตัวของน้ำมากขึ้น และพัฒนาเป็นกระดองเน่าได้ (Shell rot) วิธีนี้จึงไม่นำมาใช้ในเต่าทะเลอีก (Walsh MT, 1997) นอกจากนี้วัสดุที่ยึดติดนั้นนำออกได้ยาก
ภาพที่ 11 แสดงวิธีขั้นตอนการเชื่อมแบบ Semi-permanent dressing
ภายหลังทำการรักษา โดยใช้ Epoxy และ Fiberglass (ภาพทางซ้าย)
ซึ่งจะพบการเจริญของกระดองมาแทนที่กระดองเก่าที่สามารถเกิดการผลัดกระดองได้ (ภาพทางขวา)
ภาพที่ 12 แสดงวิธีขั้นตอนการเชื่อมแบบ Semi-permanent dressing
โดยหลังทำความสะอาดแผล และตัดชิ้นส่วน Fiberglass พอเหมาะแล้ว กับตำแหน่งกระดองที่หายไปแล้ว
จะใช้ Epoxy ทารอบๆ รอยแตก (A) โดยไม่ให้เข้าบริเวณแผลการแตกเด็ดขาด
เพื่อเชื่อม Fiberglass ให้ติดกับกระดองทุกด้านของกระดอง (B)
A B
ภาพที่ 13 แสดงผลการเชื่อมแบบ Semi-permanent dressing
เมื่อพบว่า Epoxy จะแห้งสนิทแล้ว หลังจากทาใหม่ 2-3 ชั้น ทับทั่วบริเวณ จนสำเร็จ (C)
ซึ่งวิธีนี้มีประสิทธิภาพสามารถกันน้ำได้ดีมาก จนเต่าสามารถดำรงชีวิตปกติได้ในน้ำ (D)
C D
การจัดการหลังการซ่อมแซมกระดอง (Dry docking : DD)
ภายหลังการซ่อมแซมกระดองเต่า นอกจากจำเป็นจะต้องทำความสะอาดแผล และคงการให้ยาอย่างสม่ำเสมอ เช่น ยาปฏิชีวนะ อย่างน้อย 1-2 สัปดาห์แล้ว ต้องนำเต่าออกจากน้ำในช่วงแรก (DD) ของขั้นตอนการสมานแผล ซึ่งในแผลการบาดเจ็บที่เล็กมาก จะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ ส่วนกรณีการแตกที่รุนแรง อาจใช้เวลานานมากกว่า 1-2 ปี
การแช่น้ำเป็นสิ่งสำคัญในเต่าทุกประเภท เพราะเป็นสถานที่ที่การอาหารและน้ำ รวมถึงการขับถ่าย ส่วนการตาก และได้รับอุณหภูมิที่เหมาะสม ก็มีความสำคัญ เพื่อรักษาความอบอุ่นของร่างกาย คงในระดับ Preferred body temperature ซึ่งอาจต้องเสริมโคมไฟหรือแผ่นความร้อน ในบางชนิดต้องการแสง UV จึงควรมีการจัดการที่เหมาะสมกับสภาพแผลที่กระดองเต่า ดังนี้
ระดับที่ 1 DD แช่น้ำเป็นครั้งคราว แบบเต็มตัว
Dry-docking with intermittent periods of full water immersion
ในกรณีที่มีการแตกที่กระดองเป็นบางตำแหน่งที่ขนาดเล็ก หรือสามารถปกคลุมบริเวณบาดแผลได้ด้วยแผ่นปิดแผลกันน้ำอย่างมิดชิด เช่น Opsite Flexigrid หรือ Opsite Incise (Smith & Nephew) โดยเต่าสามารถแช่น้ำได้เป็นครั้งคราว รวมประมาณ 30-60 นาทีต่อวัน เพื่อกินอาหาร ดื่มน้ำ และขับถ่าย และหลังขึ้นจากน้ำต้องรีบทำความสะอาดแผล แล้วเช็ดให้แห้งก่อนการปิดแผลใหม่ เพื่อไม่ให้เกิดการอับชื้นสะสมภายนอกและภายในแผล
ระดับที่ 2 DD แช่น้ำเป็นครั้งคราวแบบบางส่วน
Dry-docking with intermittent periods of partial water immersion
ในกรณีที่เต่ามีกระดองแตกส่วนของ Carapace มักจะแช่บริเวณน้ำที่ตื้น โดยไม่ให้ถึงบริเวณบาดแผล หรือน้ำกระเด็นโดนได้ง่ายเมื่อเต่าขยับตัว หรือว่ายน้ำ มักจะให้แช่ในช่วงเวลาสั้นๆของวัน เพื่อกิจกรรมในการดำรงชีวิตบางส่วนเท่านั้น แต่ควรเฝ้าดูตลอดเวลาจนกว่าเต่าจะขึ้น
ระดับที่ 3 DD ออกจากน้ำอย่างต่อเนื่อง
Dry-docking continuously
ในกรณีที่เต่ามีกระดองแตกส่วนของ Plastron หรือ Bridge หรือตำแหน่งที่ไม่สามารถกันน้ำได้อย่างสมบูรณ์ หรือเต่าที่มีบาดแผลที่หัวร่วมด้วย ดังนั้นต้องมีการจัดการที่พิเศษกว่าปกติ โดยจะให้ลงน้ำแค่ 2-4 นาที เพื่อกระตุ้นการขับถ่ายหรือลดความเครียด โดยเต่าจะขับถ่ายลงบนสิ่งรองรับใต้กระดอง ส่วนเรื่องการกินอาหารอาจให้ทาง Esophagostomy feeding tube และให้สารน้ำทาง IV, IC หรือ SQ เป็นต้น ปัจจุบันมีวิธีใหม่ในการให้น้ำคือ Sunken ซึ่งจะนำหัวและคอเต่าเข้าไปดื่มน้ำได้ ซึ่งประสบความสำเร็จมาแล้วในเต่าที่มีลักษณะคอยาว และกำลังพัฒนาเพิ่มขึ้น ให้ใช้ได้ในเต่าทุกรูปแบบอยู่ (Vella D, 2006)
นอกจากนี้ในกรณีการแตกที่ Plastron ควรมีวัสดุรองรับน้ำหนักรองด้านล่างของกระดองด้วย เช่น เศษกระดาษหนังสือพิมพ์ ผ้า เพื่อกระจายการรับน้ำหนัก ไม่ให้กดลงบริเวณที่การแตกเพียงตำแหน่งเดียว และยังช่วยดูดซับความชื้นบางส่วนก่อนถึงแผ่นปิดแผลด้วย
สิ่งสำคัญควรมีการจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงของเต่าและสภาพแผลทุกวัน
สรุป
มีการศึกษาและคิดค้นวิธีการซ่อมกระดองเต่าเรื่อยมา คาดหวังว่าคงมีวิธีที่สามารถทำให้กระดองเต่าสมานแผลได้รวดเร็ว และสามารถป้องกันการติดเชื้อหรือการปนเปื้อนแทรกซ้อน โดยไม่เป็นอันตรายต่อสัตว์
แต่ปัจจุบันก็ไม่มีวิธีใดที่ดีที่สุดในการซ่อมแซมกระดองเต่า ทั้งนี้การพิจารณาในการเลือกใช้วิธีต่างๆ ขึ้นอยู่กับสิ่งเหล่านี้ คือ
สภาพเต่าว่าพร้อมที่จะได้รับการรักษาหรือไม่
สภาพความเสียหายของการแตกที่กระดองเต่า เพื่อพิจารณาว่าเต่าเหมาะสมกับการรับการรักษาหรือไม่
วิธีที่เหมาะสมกับรูปแบบการแตกของกระดอง รวมถึงค่าใช้จ่าย
ขั้นตอนการซ่อมกระดองที่สะอาด ปราศจากเชื้อต่างๆ เน้นเรื่องการทำความสะอาดแผลที่สะอาดสุดๆ
การดูแลหลังซ่อมกระดอง เช่นการจัดการเรื่องอาหารและน้ำ การขับถ่ายของเต่า การให้ยาและการทำความสะอาดแผลอย่างเหมาะสม
Reference:
Barten SL. 2006. Shell damage. In Mader DR. (ed) 2006. Reptile medicine and surgery. Elsevier Saunders, USA
Coke RL, Reyes-Fore PA, Finkelstein AD. 2005. Treatment of a carapace abscess in an Aldabra Tortoise (Geochelone gigantea) with negative pressure wound therapy. Proc Assoc Rept Amphib Vet Conf : 86
Forrester H, Satta J. 2005. Easy shell repair. Exotic DVM 6.6: 13
Fowler A, Magelakis N. 2004. Shell fracture repair using glass ionomer cement in the long-neck turtle (Chelodina longicollis). Proc Aust Vet Assoc conf UEP SIG. 137-139
Frye FL. 1973. Clinical evaluation of a rapid polymerizing epoxy resin for repair of shell defects in tortoises. Vet Med/Sm Anim Clin. 68: 51-53
Heard DJ. 1999. Shell repair in turtles and tortoises: An heretical approach. Proc N Am Vet Conf
Johnson J. 2002. How to repair chelonian shell disruptions. Proc West Vet Conf
Kaplan M, 1995. www.anapsid.org/shellrepair.html
Kishimori J, Lewbart G, Marcellin-Little D, Roe S. Trogdon M, Henson H, Stoskopf M. 2001. Chelonian shell fracture repair techniques. Exotic DVM 3.5: 35-41
Lafortune M, Wellehan JFX, Heard DJ, Rooney-DelPino E, Fiorello CV, Jacobson E. 2005. Vacuum-assisted closure (turtle VAC) in the management of traumatic shell defects in Chelonians. J Herp Med Surg. 15(4): 4-8
Macro, 2006. COMPARAÇÃO DE DIFERENTES PROTOCOLOS TERAPÊUTICOS NA CICATRIZAÇÃO DE CARAPAÇA DE TIGRES-D'ÁGUA (Trachemys sp.)
Mathews KA, Binington AG. 2002. Wound management using honey. Compend Contin Educ Pract Vet. 24(1): 53-60
Michael J., 2007. Vacuum-assisted closure for treatment of a deep shell abscess and osteomyelitis in a tortoise
Norton TM. 2005. Chelonian Emergency and Critical Care. Semin in Avian and Exotic Pet Med. 14(2): 106-130
Reiss A. 1999. Shell repair in tortoises and turtles. In Wildlife in Australia. Healthcare and management. PGFVS Proc 327: 110-111
Richards J. 2001. Metal bridges- a new technique of turtle shell repair. J Herp Med Surg. 11(4): 31-34
Vella D, 2006. http://www.theveterinarian.com
Walsh MT. 1997. Sea turtle critical care principles: Application to other aquatic reptiles. Proc N Am Vet Conf: 761
Watt P. 2005. Wound Care. Urgency in Emergency. Emergency medicine and critical care. PGFVS proc 358: 321-339
Wilson G, Burns P. 2000. The use of a low exothermic-curing dental acrylic to repair turtle shell injuries. Aust Vet Pract. 30(2): 63-66
Read more!